ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์ กล่าวว่า ผู้ได้ชื่อว่า ''ทำกับข้าวเป็น'' จะต้องมาจากการฝึกทำบ่อยๆ รู้จักปรับรสชาติที่ไม่เข้าที่เข้าทางให้กลมกล่อมตามสูตรดั้งเดิม ยิ่งไปกว่านั้น เสน่ห์ปลายจวักยังอยู่ที่การคาดคะเนเป็น เพราะพริก หอม กระเทียม เครื่องปรุงต่างๆ นั้นก็มีขนาดเล็ก-ใหญ่ ไม่เท่ากัน กับข้าวในวังก็เหมือนกับที่กินกันทั่วไป แต่อร่อยที่การปรุงรส อาหารทุกอย่างมีขั้นตอนที่คนปรุงต้องเรียนรู้และฝึกฝน





M.L. Nueang Nilrat is a person who defines the term "good cooking" or in other words is "a person who really knows how to cook" this consists of practicing often and learning how to add flavours according to traditional recipes. Moreover, the charm of cooking is being able to estimate the various sizes of ingredients, such as chillies to onion and garlic that gives different degrees of taste. Royal cuisine does not distinguish itself from general Thai cuisine but for the differences in the amounts of ingredients added this gives Royal cuisine its distinct flavours. All the kinds of food that we cook have their own unique methods that depend on the cooks know how.



Saturday, July 23, 2011

จำให้ขึ้นใจ ไว้เตือนตัวเอง

          คำกลอนบทนี้ ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์ คิดผูกขึ้นเอง ตามประสาคนไม่มีความรู้ในทางแต่งบทกลอน จึงอ่านแล้วไม่รื่นหู แต่เป็นสัจธรรมแห่งโลก ท่านที่เก่งในทางกาพย์กลอน โปรดให้อภัยข้าพเจ้าด้วย

     เกศาผมหงอกบอกว่าตัวเฒ่า
ตาหูฟันเล่าแก่แล้วทุกประการ
สังขารร่างกายอาศัยมานาน
คอยความวายปราณมาถึงเมื่อใด
เร่งทำความดีอย่าได้รอไป
ย้ายภพภูมิใหม่ไปเกิดที่ดี
บุญทานทำไว้จิตใจศีลมี
รูปงามเป็นเศรษฐีต้องใช่ตัวเรา


Saturday, July 9, 2011

ห่อหมกปลากราย

ตำรับบ้าน ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์ ปรุงโดย นิจ เหลี่ยมอุไร

เครื่องแกง
พริกแห้ง แช่น้ำให้นุ่ม                                 ๓๐      กรัม
ตะไคร้                                                  ๒๐      กรัม (๑ ต้น)
ข่า                                                      ๑๐      กรัม
ผิวมะกรูด                                                      กรัม
หอมแดง                                               ๒๕     กรัม
กระเทียม                                              ๒๐      กรัม
รากผักชี                                                        ราก
กระชาย                                                ๓๐      กรัม
พริกไทย                                               ๑/๒     ช้อนชา
กะปิ                                                    ๑๐      กรัม

เครื่องปรุง
เนื้อปลากรายขูด                                      ๑/๒     ก.ก.
ไข่เป็ด                                                          ฟอง
กะทิ                                                    ๒ ๑/๒ ถ้วย
น้ำปลา                                                         ช้อนโต๊ะ
เกลือ                                                           ช้อนชา
น้ำตาล                                                         ช้อนชา
แป้งข้าวเจ้า                                                    ช้อนชา

วิธีทำ
พริกชี้ฟ้าแดงซอยเป็นเส้นๆ                                  เม็ด
ใบมะกรูดซอยเป็นเส้นๆ                                      ใบ
ใบโหระพาเด็ดเป็นใบๆ                               ๑๐๐    กรัม
ผักกาดขาวหรือกะหล่ำปลีซอยหยาบๆ             ๑๐๐    กรัม
ใบยอซอยหยาบๆ                                     ๑๐๐    กรัม

วิธีทำน้ำพริกแกง
โขลกพริกแห้ง ตะไคร้ ข่า ผิวมะกรูด หอมแดง กระเทียม รากผักชี กระชาย พริกไทย ให้ละเอียด แล้วค่อยใส่กะปิลงไป โขลกต่อให้ละเอียด

วิธีทำห่อหมกปลากราย
๑. นำกะทิประมาณ ๑ ถ้วยใส่ในชามผสม ใส่น้ำพริกแกงลงไป คนจนน้ำพริกละลายเข้ากันดี
๒. ใส่ปลากรายขูดลงไป คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ค่อยๆ เติมกะทิที่เหลือลงไปจนหมด
๓. ปรุงรสด้วยน้ำปลา เกลือ น้ำตาล แล้วตอกใข่ใส่ลงไป คนให้เข้ากัน
๔. ลวกผัก บีบน้ำออก แล้วคลุกกับส่วนผสมที่ได้นิดหน่อย แล้วนำไปรองก้นกระทง
๕. ตักส่วนผสมใส่ลงไปจนเกือบเต็มกระทง จัดเรียงลงในรังถึง แล้วนึ่งไปประมาณ ๓๐ นาที
๖. ทำกะทิหยอดหน้าห่อหมก โดยนำกะทิ ๑/๒ ถ้วย ผสมกับแป้งข้าวเจ้า นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนจนข้น ยกลงพักไว้
๗. เมื่อนึ่งครบ ๓๐ นาที ราดหน้าแต่ละกระทงด้วยหัวกะทิที่เตรียมไว้ โรยด้วยใบมะกรูด และพริกชี้ฟ้า (ถ้ามีผักชี ก็เด็ดเป็นใบๆ โรยลงไปด้วย) นึ่งต่อไปอีกประมาณ ๒ นาที ก็ปิดเตาและยกลงได้

วิธีทำกระทง ๔ มุม
ฉีกใบตองกว้างประมาณ ๕ ๑/๒ นิ้ว เอามาซ้อนกัน หาภาชนะกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง ๕ นิ้ว วางลงบนใบตอง ใช้มีดคมๆ กรีดรอบภาชนะนั้น ใบตองจะขาดเป็นแผ่นกลม จับวางซ้อนเอาทางมันออกข้างนอก สับเส้นริ้วใบตองกะให้เท่ากัน แล้วหักมุมมาเกย กลัดไม้กลัดทั้งสี่มุม

เครื่องแกง

คนให้ส่วนผสมเข้ากัน

ผักลวกรองก้นกระทง

ตักส่วนผสมใส่ลงในกระทง

กะทิหยอดหน้าห่อหมก ใบมะกรูดซอย พริกชี้ฟ้าซอย และผักชีเด็ดเป็นใบๆ

ห่อหมกปลากราย

Saturday, July 2, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ~จบ~

ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์


ม.ร.ว. ศรีคำ ทองแถม


          ข้าพเจ้าจึงเข้าใจซึ้งว่า เขาก็รักปราถนาดีต่อเราไม่น้อยเลย ต่อมาข้าพเจ้าพาตัวพระเอกของข้าพเจ้าไปให้ดู โดยเรานัดกันไปเที่ยวชลบุรี มี คุณหญิง ม.ร.ว. เกื้อกมล สวัสดิ์สรยุทธ ไปด้วย คุณหญิงศรีคำจึงได้เห็นพระเอกของข้าพเจ้า เขาว่า พี่เนื่องเธอนี่ยังโกหกเหมือนเมื่อเด็กๆ นะแก้ไม่หาย
          จากนั้นเราก็ไปมาหาสู่กัน ไปทำบุญที่ไหนเราก็ไปด้วยกันทั้งใกล้และไกล เมื่อประมาณ ๒ ปีมานี้ ได้ทราบว่าไม่ใคร่สบายเบื่ออาหาร ข้าพเจ้าก็ทำอาหารเลือกเอาแต่ที่คุณหญิงชอบส่งไปให้ทานที่บ้านเป็นนิจสิน ด้วยรู้ว่าคนไม่สบายมักเบื่ออาหารบ้านตัวเอง หลังจากที่รักษาย้ายไปหลายแห่ง อาการไม่ดีขึ้นเลย ก็เข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลสมิติเวช กินยาก็แล้วผ่าตัดก็แล้ว ไปนอนโรงพยาบาลสมิติเวชตั้ง ๒-๓ ครั้ง ช่วยให้หายไม่ได้มีแต่ทุเลาเป็นครั้งคราว ใครบอกว่ามียาดีอยู่ที่ไหน ไกลเท่าไหร่ก็ไปซื้อมากิน ยาต้มหม้อละ ๔-๕ พันบาทก็ซื้อ กิน ๓-๔ หม้อยิ่งทรุดลงไป คุณหมอกำชัย ลูกชายคุณหญิงเป็นหมอประจำอยู่โรงพยาบาลราชบุรี ภรรยาคุณหมอก็เป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลราชบุรีเหมือนกัน ได้ตรวจว่าโรคที่เป็นนี้ไม่มีทางรักษาให้หายได้แล้วนอกจากเทวดาจะมาโปรด จึงชี้แจงขอให้คุณแม่ไปนอนเจ็บสะดวกแก่การดูแลเอาใจใส่ ซึ่งคุณหญิงก็ยินยอมสมัครใจไป ข้าพเจ้ากลัวการเดินทางโดยรถประจำทางจึงไม่กล้าไปเยี่ยม คุณพิศมัยเพื่อนบ้านที่ชอบกันมากไปเยี่ยม เธอก็ว่ามากับคุณพิศมัยว่า พี่เนื่องใจดำจึงไม่มาเยี่ยมเลย คุณพิศมัยมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง แล้วบอกว่า ถ้าพี่เนื่องไม่ไปเยี่ยมในวันสองวันนี้ กลัวว่าจะไม่ได้พบเห็นกันอีกเลย ข้าพเจ้าตกใจมากเลิกกลัวอะไรๆ หมด วานคุณพิศมัยให้ช่วยพาไปเร็ว รุ่งขึ้นวันที่ ๒ มกราคม เราก็ไปกัน ๒ คน ไปถึงโรงพยาบาลราชบุรีเกือบ ๑๓.๐๐ น. ไปถึงคุณหญิงไม่พูดเสียแล้ว เห็นข้าพเจ้าเข้าร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทาง ข้าพเจ้าก็ปลอบใจไว้สุดแต่จะหาคำพูดได้ในขณะนั้นและนั่งอยู่ด้วยจนบ่าย ๔ โมงเย็น จึงจากมาขากลับข้าพเจ้าเข้าไปลาก็ร้องไห้อีก คงจะได้รู้ตัวว่า เราต้องจากกันอย่างไม่มีวันพบเห็นกันอีกต่อไป รุ่งเช้าวันที่ ๓ มกราคม ข้าพเจ้าก็ได้รับข่าวร้ายว่า คุณหญิงศรีคำ ถึงแก่กรรมเสียแล้ว คล้ายกับจะเจ็บรอให้ข้าพเจ้าไปเยี่ยม พอพบหน้ากันแล้วก็จากกันไปเลย ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายอ่านเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมาทั้งหมดก็ย่อมจะเข้าใจเองว่า ข้าพเจ้าทุกข์ร้อน-เสียดาย-เสียใจ สักแค่ไหนเกินกว่าที่จะบอกเล่าออกมาเป็นคำพูด จึงขอจบเรื่องด้วยชีวิตที่ปิดฉากลงไปแล้ว

                            กราบสวัสดี แด่ท่านที่ทนอ่านทุกๆ ท่าน
                            ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

          จบแล้วค่ะงานเขียนชิ้นแรกของคุณย่า สอบถามจากป้า (นิจ เหลี่ยมอุไร) ว่าคุณย่าทำอาหารอะไรส่งไปให้คุณหญิงศรีคำ ป้าบอกว่า คุณหญิงศรีคำชอบแกงคั่วเห็ดฟางพริกขี้หนูสดมาก ข้าวตัง-เมี่ยงลาวกับสาคูไส้ปลาก็ชอบ ป้ายังเล่าต่ออีกว่า คุณหญิงศรีคำเชี่ยวชาญการทำกระท้อนลอยแก้ว ป้ายังได้วิชาการทำกระท้อนลอยแก้วมาจากคุณหญิงเลย อีกอย่างคือ กะหรี่พัฟ คุณหญิงไปเรียนมาจากที่ไหนไม่รู้ เสียค่าเรียนไป ๕๐๐ บาท เรียนเสร็จแล้วก็มาสอนป้าต่อ ช่วงนี้เป็นหน้ากระท้อน แพงทำกระท้อนลอยแก้วสิ เดี๋ยวป้าบอกวิธีทำให้
            กระท้อนลอยแก้ว
เครื่องปรุง
          กระท้อน                        ผล
          น้ำตาลทราย            ๕๐๐   กรัม
          เกลือป่น                         ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
          เชื่อมน้ำตาลให้ข้นเตรียมไว้ ละลายเกลือด้วยน้ำ ๓ ถ้วย ปอกกระท้อน ฝานเป็นชิ้นๆ นำไปแช่น้ำเกลือประมาณ ๑ ชั่วโมง แล้วบีบน้ำเกลือออก ใส่ลงในน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้ แช่ทิ้งไว้ประมาณ ๒ ชั่วโมง ทุบน้ำแข็งใส่รับประทานได้

กระท้อน

ปอกกระท้อน ฝานเป็นชิ้นๆ แช่ในน้ำเกลือ

กระท้อนแช่ในน้ำเชื่อม

กระท้อนลอยแก้ว

งานเขียนชิ้นแรก ๑๑

ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

 
คุณหญิง รามบัณฑิตสิทธิเศรณี กับน้องสาว


          ความเปลี่ยนแปลงมีอยู่ตลอดเวลา หม่อมเจ้าสุธารส สิงหรา พระบิดา ม.ร.ว. วงศ์สินธุ์ สิงหรา สิ้นพระชนม์ชีพ หม่อมเล็กมารดาได้มาทูลขอลาเอาคุณวงศ์สินธุ์ออกไปอยู่ด้วย แต่นั้นมาเรือนท่านย่าเคยมีวัว ๓ ตัว ด้วยปีฉลูเหมือนกันหมด ก็จะเหลือแต่วัว ๒ ตัว ดูจะเงียบเหงาไปมาก เรื่องซุกซนหัวไม้ค่อยคลายลงบ้าง
          การสอบไล่ชั้นมัธยมปีที่ ๖ ก็ผ่านไปแล้ว โดยไปสมัครสอบข้อสอบกระทรวงกับโรงเรียนสายปัญญา ผลการสอบไล่ หม่อมเจ้าหญิงคันธรสรังษี ม.ร.ว. ฟูผล กับ ม.ร.ว. วัฒนพันธ์ สอบได้คะแนนเยี่ยม ม.ร.ว. อาไทย กับข้าพเจ้า และคุณๆ อื่นอีกหลายคนได้รองๆ ลงมา ที่สอบตกหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ซึ่งจำชื่อไม่ได้ การเรียนในวังก็ยุติลงแค่นี้ ไม่ต้องไปเรียนหนังสืออีกแล้วเรียกว่าเป็นสาวแล้ว ต้องผลัดเครื่องแต่งกายประจำวันจากนุ่งผ้าซิ่นไหม มาเป็นนุ่งผ้าโจงกระเบนทุกคนแบบผู้ใหญ่ แต่ไม่ต้องกินหมาก ตอนนี้ก็ขาดเพื่อนไปอีกหนึ่งคน แม่ฉวีใหญ่ได้ทูลลาไปอยู่บ้านกับบิดา มารดา เพื่อเตรียมตัวสมรสกับร้อยตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์  คุณหญิงศรีคำโตขึ้นเป็นสาวสวยคมคายน่ารัก ก็มีท่านป้า คือหม่อมเจ้าหญิงเครือมาสวิมล มาทูลลารับไปเที่ยวเตร่ดูหนังโรงพัฒนากร (เป็นโรงหนังที่หรูหราในยุคนั้น) กลับเข้าวังมาก็มาคุยฟุ้งเรื่องหนัง ข้าพเจ้ามีความดิ้นรนที่อยากจะได้เห็นโรงหนังพัฒนากรมั่ง ด้วยความสงสาร คุณหญิงเยี่ยมรามบัณฑิตสิทธิเศรณี จึงทูลขออนุญาตจากท่านย่ามารับข้าพเจ้าไปค้างบ้านแล้วพาไปดูหนังโรงพัฒนากร ข้าพเจ้าเรียกว่า พี่เยี่ยม ด้วยเป็นข้าหลวงรุ่นใหญ่และอยู่ในความปกครองของท่านย่า หม่อมเจ้าหญิงเครือมาสวิมล มารับคุณหญิงศรีคำไปค้างยังวังของท่านแทบทุกอาทิตย์ และต่อมาก็ได้ขอประทานตัวไปทำการสมรส ที่เป็นพิธีถูกต้องอย่างสมเกียรติ
          คุณหญิงศรีคำกับข้าพเจ้ารักเห็นอกเห็นใจกันมาตั้งแต่เล็กจนโตเป็นสาว มิใช่รักกันเพราะเราเป็นญาติกัน เรามีความผูกพันกันทางใจมาเป็นเวลาอันนานแสนนาน บัดนี้เราจะต้องมาจากกันอีกแล้ว เรือนท่านย่าจะเหลือแต่วัวตัวเดียว ท่านย่าทรงกรรแสงทุกคืนตอนข้าพเจ้าเหยียบถวาย มีพี่บรรจงกับพี่สอนเห็นอกเห็นใจท่าน มักจะมาคุยและปลอบใจท่านอยู่บ่อยๆ พิธีสมรสคุณหญิงเจ้านายทรงเห็นดีเห็นงามได้ประทานเครื่องเพชรในวันทำพิธีสมรส ทุกชิ้นเป็นพลอยสีม่วงแก่ล้อมเพชรรอบ เช่น จี้ห้อยคอ ต่างหู กำไล แหวน ครบชุดให้เป็นของรับไหว้เลย ส่วนท่านย่ารับไหว้เป็นแหวนทับทิมพม่าหลังเบี้ยเม็ดโต มีเพชรลูกเม็ดเขื่องฝังข้างละ ๑ เม็ด ข้าพเจ้าไม่มีอะไรจะให้นอกจากน้ำตา
          เปลี่ยนการปกครอง บ้านเหลืองเมืองแตก ตอนนี้พระวิมาดา สิ้นพระชนม์แล้ว เหลือแต่สมเด็จหญิงพระองค์น้อยก็จะเสด็จหนีการเมืองไปประทับประเทศชวา ต้องมีการคัดตัวข้าหลวง ใครเป็นคนโปรดก็ได้ติดตามเสด็จไป นอกนั้นโปรดให้กลับคืนออกไปอยู่กับพ่อ-แม่ ซึ่งบางคนก็ดีใจมากเหมือนนกได้ถูกปล่อยออกจากกรง แต่บางคนติดใจกรงนกไม่อยากไปก็ร้องไห้ปรับทุกข์กัน คุณป้าเฉลยมารดาพี่บรรจงได้นำข้าพเจ้าไปฝากเป็นครูสอนหนังสืออยู่โรงเรียนเทเวศน์ศึกษา ได้รับเงินเดือนๆ ละ ๑๒ บาท เป็นที่ตกใจมาก เมื่อฟังเงินเดือนตั้ง ๑๒ บาท ไม่รู้จะใช้ยังไงไหว เคยใช้เดือนละหนึ่งบาทจากท่านย่าแล้วข้าพเจ้าก็ถูกส่งตัวมาอยู่กับพ่อ-แม่ คนที่เหลือนอกนั้นทั้งหมดไม่ว่าพระองค์เจ้าหรือหม่อมเจ้า คนธรรมดา ก็ต้องย้ายออกจากวังสุนันทาไปปลูกเรือนให้อยู่ใหม่ในที่ดินซึ่งเรียกว่า โรงเลี้ยงเด็ก เป็นที่เก่าแก่ของพระวิมาดาเธอ โดยทิ้งวังสุนันทากันเลย บัดนี้ วังสุนันทา ก็ได้กลายเป็นสถานศึกษาใหญ่โต คือ วิทยาลัยครูสวนสุนันทา
          ข้าพเจ้าออกมาอยู่นอกวังแล้ว ก็ได้ไปมาหาสู่คุณหญิงศรีคำเรื่อยมาตลอด วันหนึ่งคุณหญิงซื้อของกินจากบางลำภู มาทานรวมกับข้าพเจ้าที่โรงเรียน ข้าพเจ้าบอกกับคุณหญิงว่า ข้าพเจ้าจะแต่งงานเร็วๆ นี้นะ คุณหญิงถามว่า พระเอกหล่อไหม ข้าพเจ้าว่า เป็นชายนิสสัยดี มีปริญญาตรี ขณะนี้รับราชการเป็นหลักฐาน คุณหญิงว่า ดีซี ข้าพเจ้านึกสนุกคิดว่า ครั้งนี้ต้องมีการโกหกกันให้สนุกซักทีเหอะ เลยตอบไปว่า ก็ไม่ดีนัก ยังมีข้อเสียที่ต้องกลุ้มใจ คุณหญิงว่า เสียอะไรล่ะ ข้าพเจ้าว่า เขาหัวโกร๋น หัวโกร๋นก็ใส่วิกได้นี่ คุณหญิงว่า ข้าพเจ้าเลยบอก ไม่เท่านั้นนะซี ยังแถมตาถั่วไป ๑ ข้าง คุณหญิงชักหน้าเสีย มองข้าพเจ้าแล้วว่า ตาถั่วก็ใส่แว่น ไม่มีเงินซื้อ จะซื้อให้ ข้าพเจ้าหัวเราะ "ยังมีอีก อันนี้ขายหน้ามากแล้วแก้ยากด้วย คือเขาเดินขาเป๋ เวลาเดินน่าเกลียดมาก ขณะนั้นเราพึ่งทานอาหารคาวเสร็จ ยังไม่ได้ทานของหวานและผลไม้ที่คุณหญิงซื้อมา คุณหญิงรีบเก็บขนมและผลไม้กลับคืนใส่ถุงไม่เหลือไว้ให้ข้าพเจ้าเลย ลุกขึ้นสวมรองเท้า หิ้วกระเป๋ากลับไป แล้วยังหันหน้ามาว่าข้าพเจ้าอีกว่า จะมีผัวซักที หาดีไม่ได้ก็อย่าไปมีมันเสียเลยดีกว่า ว่าแล้วรีบเดินหนีไปโดยเร็ว ข้าพเจ้าลุกวิ่งตามไปตะโกนให้กลับมาก่อน โกหกให้น่ะ เขาเดินอ้าวไปเลยไม่ทราบว่าในใจเขาคิดยังไง