ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์ กล่าวว่า ผู้ได้ชื่อว่า ''ทำกับข้าวเป็น'' จะต้องมาจากการฝึกทำบ่อยๆ รู้จักปรับรสชาติที่ไม่เข้าที่เข้าทางให้กลมกล่อมตามสูตรดั้งเดิม ยิ่งไปกว่านั้น เสน่ห์ปลายจวักยังอยู่ที่การคาดคะเนเป็น เพราะพริก หอม กระเทียม เครื่องปรุงต่างๆ นั้นก็มีขนาดเล็ก-ใหญ่ ไม่เท่ากัน กับข้าวในวังก็เหมือนกับที่กินกันทั่วไป แต่อร่อยที่การปรุงรส อาหารทุกอย่างมีขั้นตอนที่คนปรุงต้องเรียนรู้และฝึกฝน





M.L. Nueang Nilrat is a person who defines the term "good cooking" or in other words is "a person who really knows how to cook" this consists of practicing often and learning how to add flavours according to traditional recipes. Moreover, the charm of cooking is being able to estimate the various sizes of ingredients, such as chillies to onion and garlic that gives different degrees of taste. Royal cuisine does not distinguish itself from general Thai cuisine but for the differences in the amounts of ingredients added this gives Royal cuisine its distinct flavours. All the kinds of food that we cook have their own unique methods that depend on the cooks know how.



Saturday, June 25, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๑๐

ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

น.ส. พูล อมาตยกุล


          คืนวันหนึ่ง คุณหญิงศรีคำกลับลงมาจากบนตำหนัก มาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า "มีทางจะแก้แค้นหม่อมเขียนแล้ว ต้นหว้าลูกใหญ่ที่ปลูกอยู่มุมสนามใบพัดกำลังมีลูกดกแต่ยังไม่แก่จัด ท่านทรงเรียกหม่อมเขียนมามอบให้ดูแลรักษา พอลูกแก่จะเก็บไปทูลเกล้าถวาย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗" ข้าพเจ้ารีบถามว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ ไปขโมยอีกเรอะ คุณหญิงว่า เราอย่าเก็บหมดซี ของจะเอาไปทูลเกล้าถวาย เราเก็บกิ่งไหนก็เอาแต่กิ่งเดียว คราวนี้อยากกินจริงๆ ลูกโตดำมืดเท่าหัวแม่มือแน่ะ ท่านเสด็จลงทอดพระเนตรทุกวัน ถ้าหายบางตาไป หม่อมเขียนโดนกริ้วแย่เลย คุณวงศ์สินธุ์อาสาจะเป็นคนปีนขึ้นต้น แล้วโยนลงมาให้เราสองคนคอยเก็บ ตกลงกันเรียบร้อยว่าพรุ่งนี้จะลงมือทำตอนกลางวันที่หม่อมเขียนนอน  แล้วต้องทำตอนบ่ายที่นักเรียนเข้าห้องเรียนหมดแล้ว ผู้คนจะได้ไม่พลุกพล่าน เรา ๓ คน ยอมขาดเรียนลาป่วยภาคบ่าย ได้เวลาเงียบดี คุณวงศ์  สินธุ์ก็ขึ้นปีนต้น ข้าพเจ้ากับคุณหญิงถือถุงยืนรอโคนต้น หม่อมเขียนเดินออกมาจากเรือนทำท่าจะเดินมาที่ต้นหว้า เรา ๓ คน ตกใจที่สุด ข้าพเจ้าร้องเบาๆ ว่า ตัวใครตัวมัน แล้วดึงข้อมือคุณหญิงวิ่งอย่างเร็วขึ้นไปบนเขาดิน เลยแอบดูเห็นหม่อมเขียนเดินเลี้ยวไปทางบนตำหนัก ที่แท้แกไม่ได้เห็นเราสักหน่อย ค่อยหายตกใจ นึกถึงคุณวงศ์สินธุ์ขึ้นมาได้ รีบวิ่งมาดู ที่ไหนได้ตกลงมาจากต้นหว้านอนจุกลุกไม่ขึ้น ข้าพเจ้ากับคุณหญิง ช่วยกันหิ้วปีกมาคนละข้าง ลากมาจนถึงเรือน น.ส. พูล อมาตยกุล ที่แท้เป็นเรือน น.ส. ขนมต้ม อมาตยกุล ผู้เป็นอาของ น.ส. พูล แม่พูลนี้ชอบกับพวกเราทุกคน เราเคยไปกินข้าวที่เขาเสมอ เขาช่างทำของอร่อยๆ ไว้เลี้ยงพวกเรา แต่แม่ขนมต้มอาของเขาแก่แล้วและไม่ถูกชะตากับพวกเรา เราช่วยกันครึ่งลากครึ่งจูงคุณวงศ์สินธุ์มาให้แม่พูลรักษาให้ เขาเอาหม่องทาที่หน้าอก หน้าท้อง แล้วให้กินยาหอม เดี๋ยวก็ค่อยยังชั่ว พอแข็งแรงดีด่าคลุ้งเลยหาว่าทิ้งไว้คนเดียว เอาตัวรอดกันหมด แม่พูลว่า เอาน่าอย่าเถียงกันเลย ทำผิดแล้วยังไม่รู้อีก นั่นแหละผีมันผลักลงมาละไม่รู้จักที่ตาย ของท่านจะเก็บไว้ทูลเกล้าถวาย อย่าไปขโมยอีกนะผีวังดุ ผู้ใหญ่เขาเล่าให้ฟังมาหลายเรื่องแล้ว ซุกซนหนีออกไปเที่ยวนอกตำหนักก็เหมือนกันอย่าไปบ่อยนัก โขลนจับได้สักวันนึงแน่ ถ้าไม่ทรงเลี้ยงโทษถึงคืนกลับไปบ้าน คุณพ่อคุณแม่พวกเธอจะเสียใจแค่ไหน ส่งให้มาอยู่ในวังหวังหัดงานแม่บ้านฝึกกิริยามารยาท กลับไปทำอ้ายสิ่งที่ไม่ควรทำ เอางี้ดีกว่า ฉันได้บทละครเรื่องสาวเครือฟ้ามา ๑ เล่ม อ่านแล้วสนุกดี พวกเธอเอาไปอ่านแล้วเรามาหัดเล่นละครกัน ซนอยู่บนเรือนใครเขาก็ไม่ว่าดีไหม พวกเราเห็นดีเห็นงามด้วยเลยหัดละครกันแต่นั้นมา ตัวละครมีคุณวงศ์สินธุ์ เป็นพระยาณรงค์สงคราม ข้าพเจ้าเป็นคุณหญิงจำปา ม.ร.ว. ฟูผล ชมพูนุช เป็นคนสวยจัดให้เป็นตัว สาวเครือฟ้า น.ส. ฉวี (เล็ก) ทองเอกราช เป็นคนสวยให้เป็น เครือณรงค์ (พระเอก) คุณหญิงศรีคำให้เป็น นางคำเจิด พี่เลี้ยงสาวเครือฟ้า น.ส. ฉวี (ใหญ่) มิลินทะจินดา เป็นคนบอกบท น.ส. เพิ่ม เดชะคุป มีหน้าที่แต่งตัวละครช่วยกันกับ น.ส. สอน สุขกิจ น.ส. พูล ทำอาหารเลี้ยงและอำนวยการทั่วไป น.ส. สุดา บูรณศิริ ให้ขนโต๊ะ เก้าอี้ ขึงม่าน จัดฉากและเป็นภารโรงไปในตัวด้วย จัดเล่นตอนกลางวันของวันที่เจ้านายเสด็จบางคอแหลมเพื่อเยี่ยมประชวร สมเด็จชายเจ้าฟ้ายุคลฑิคัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศ โอกาสต้องเป็นของเราด้วยกว่าจะเสด็จกลับก็ค่ำ เราเริ่มจัดฉากตกแต่งห้อง ขนโต๊ะเก้าอี้ตามแต่จะมีอยู่มาตั้ง ถึงเวลาทานข้าวเที่ยงแล้วก็ลงมือเล่นกัน สนุกที่สุด บ้าๆ บอๆ หัวร่อกันคับห้อง คนมาชมละครโดยมากเป็นพวกเราที่ไม่ได้เล่นแล้วมีข้าหลวงรุ่นเล็ก คุณหญิงศรีคำ เวลาซ้อมไม่ยอมร้องเพลง จะขอพูดเอาแทนร้อง เราก็ตกลงตามใจ ครั้นถึงบทก็ปล่อยตัวออกมา พูดก็ไม่ยอมพูด ออกมานั่งเฉยๆ ว่าเข้าหัวเราะคิกคักอายเล่นไม่ได้เลยต้องให้นั่งไว้เฉยๆ และประกาศว่า ตอนนี้คำเจิดเป็นใบ้ เล่นกันจนจบตอนสุดท้ายให้ฉวีเล็กซึ่งเป็นพระเอกจูบสาวเครือฟ้า ไม่ยอมจูบอีกหาว่าจูบยังไง จูบไม่เป็นเลยต้องให้จับมือแบบฝรั่งแทนจูบ เลยได้ฮากันครืนใหญ่ ไม่ทราบใครที่หนวกหูพวกเรา แอบไปบอกแม่ขนมต้มบนตำหนักให้ย่องมาดู มาถึงโมโหหุนหันฉะแม่พูลผู้เป็นหลานสาวก่อนใครหาว่าเอาห้องเขามาทำโรงยี่เกทำไม แล้วรีบกลับไปรายงานให้คุณพระเลื่อนทราบทันที คุณพระเลื่อนมาพวกเรากำลังผลัดชุดละครออก คุณพระเลื่อนชี้หน้าว่าอะไรเยอะแยะจำไม่ได้ แล้วว่าเสด็จกลับจะกราบทูล รุ่งขึ้นจำได้ว่า คุณพระเลื่อนกราบทูลแล้ว ทรงทราบว่า ม.ร.ว. ฟูผล เล่นด้วย (คุณฟูผลนี้เป็นคนที่ทรงโปรดปรานมาก) ทุกคนเลยพ้นผิดรอดตัวไป โดยรับสั่งว่า มันเล่นกันตามประสาเด็กๆ ไม่เสียหายอะไรก็ช่างเถอะ แต่บอกให้รู้ทั่วกัน ต่อไปขืนทำยังงี้อีกจะเฆี่ยน ไม่ได้เอามาเลี้ยงให้เต้นกินรำกิน

Friday, June 24, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๙

 ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

น.ส. ฉวี มิลินทะจินดา และ น.ส. พูล อมาตยกุล

          ที่คุณหญิงศรีคำว่าคุณสรัทกลัวข้าพเจ้านั้น มันมีเรื่องนิดเดียวที่ข้าพเจ้าบังเอิญไปรู้เข้า คือคุณสรัทแอบแนะนำพี่ชายของตนซึ่งอยู่บ้านนอกวังให้รู้จักกับข้าหลวงสวยคนหนึ่ง และได้มีจดหมายติดต่อถึงกัน ก็เท่านั้นเอง เขาไม่เคยได้ออกไปพบกันเลย ถึงกระนั้นก็เถอะ ถ้ารู้ถึงหูผู้ใหญ่ว่าเขียนจดหมายคุยกับผู้ชาย ถือว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์ โทษถึงเลี้ยงไม่ได้ต้องคืนตัวไปให้พ่อแม่เชียว ทำไมข้าพเจ้าจึงรู้เรื่องเขา วันนั้นท่านย่าใช้ข้าพเจ้าให้เอาน้ำอบไทยไปให้นายป๋อ นายป๋อนี้เป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย แต่เพราะเป็นนายใหญ่ควบคุมประตูวัง คอยจับข้าหลวงไม่ให้ออกไปนอกประตูวัง ชายคนนี้ยืนลับล่ออยู่นอกประตูวัง เห็นข้าพเจ้าเข้ารู้จักกัน เพราะตอนเป็นเด็กเขาเคยอยู่ในวังกับแม่เขามาก่อน แล้วออกไปอยู่นอกวังเมื่ออายุ ๑๐ ขวบ เขากวักมือเรียกข้าพเจ้าและกระซิบฝากจดหมายมา ข้าพเจ้าก็เอามาเปิดอ่านกับคุณหญิงศรีคำ เราจึงรู้เรื่องของเขา แล้วข้าพเจ้าก็เอาจดหมายให้คุณสรัทแล้วว่า เธอเป็นสื่อให้กับใครก็เอาไปให้เขาเสีย คุณสรัทขอร้องไม่ให้ข้าพเจ้าเอาไปพูดกับใคร ข้าพเจ้าจึงเอาเรื่องนี้มาขู่เขาให้ไปเอากุญแจเรือมา เขาจำต้องยอม โชคยังเป็นของเราที่หม่อมเขียนหลับ เลยได้กุญแจมาอย่างง่ายดาย เราไขเอาเรือออก ๒ ลำ ลงไปนั่งพายกันลำละ ๓ คน มีคุญหญิงศรีคำ คุณสรัทและข้าพเจ้า อีกลำมี ม.ร.ว. วัฒนพันธ์ น.ส. สุดา และ น.ส. ฉวี มิลินทะจินดา เราเรียกกันว่าฉวีใหญ่ ต่อมาได้สมรสกับ ร้อยตรี สฤษดิ์ ธนะรัช (จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัช) ที่จริงแล้วคำว่า นางสาว ที่เรียกกันมาทุกคน อยากจะเรียกว่า คุณโน่น คุณนี่ จะแย่เสียแล้ว แต่เรียกไม่ได้ ในวังถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จะเรียกใครว่าคุณ ผู้นั้นต้องเป็น คุณจอม เช่น คุณจอม หม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ หรือผู้เป็น หม่อมราชวงศ์ จึงเรียกคุณได้ ถ้าเป็นหม่อมหลวง เรียกคุณไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น หม่อมหลวงดังชื่อต่อไปนี้ ต้องเรียกแม่ เช่น แม่เนื่อง แม่เฉลียว แม่สละ แม่สมนึก แม่สมาส แม่มานิต ผู้เป็นนางสาว ถึงจะเป็นลูกพระยาเจ้าเมือง เช่น นางสาวเพิ่ม เดชะคุป ธิดาพระยาโบราณราชธานินก็เรียก แม่เพิ่ม นางสาวสุดา บูรณศิริ ธิดาพระยาอรรคราชโยธิน ก็เรียก แม่สุดา พอออกมาอยู่นอกวัง ทุกคนที่เคยเป็นแม่กลับกลายเป็นคุณหมด อย่างข้าพเจ้า ใครก็เรียกคุณเนื่องแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอเกิดชาติใหม่
          แล้วเราก็หัดพายเรือเก้ๆ กังๆ หมุนไปหมุนมาอยู่ในโรงเรือนั่นแหละ ไม่กล้าพายออกมานอกหลังคาคลุม ด้วยกลัวจ้าวนายทอดพระเนตรเห็นเข้า คุณหญิงศรีคำเป็นผู้ถามคุณสรัทขึ้นมา เธอไปเอากุญแจมาได้ยังไง หม่อมแม่ไม่เห็นรึ คุณสรัท ตอบว่า แม่หลับ ข้าพเจ้าก็เลยว่าต่อไปให้เลยว่า คนแก่จะไปรู้อะไร หลับแล้วเหมือนตายเลย งกพิลึก เข้าของก็ไม่ใช่ของตัวทำงกไปได้ ตายเมื่อไหร่จะเอาเรือทำฟืนเผาไปให้ ว่าแล้วก็วาดเรือเทียบตลิ่งก้าวขึ้นบก เงยหน้าเจอหม่อมเขียนยืนท้าวเอว หน้าตาถมึงทึงตาเขียวเชียว ตกใจแทบช๊อคตาย เสียงหม่อมเขียนตวาดว่า ไปขโมยกุญแจมาไขเอาเรือเล่นแล้วยังมาด่าให้อีกแน่ะ คนอะไรเก่งไม่เคยพบเคยเห็น แล้วกระชากข้อมือคุณสรัทไปชำระความกันแม่ๆ ลูกๆ พวกเราไม่รอช้าวิ่งหนีหายวับเข้าห้องเรียนไปเลย เพราะได้เวลากระดิ่งเข้าเรียนพอดี สักครู่ คุณสรัทก็เข้ามานั่งที่โต๊ะเรียน ตาแดงช้ำแสดงว่าร้องไห้มา แต่เขาไม่พูดกับพวกเราเลย ข้าพเจ้าอดไม่ได้ถามเขาว่า หม่อมแม่ว่าไง กะอีเรื่องลงไปนั่งเรือเล่นเฉยๆ ไม่ได้ไปฆ่าใครตายซักหน่อย ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้คุณสรัทจึงว่า แม่บอกว่าจะขึ้นไปกราบทูลให้ทรงทราบ ถ้าเรือเกิดชำรุดเสียหายไป แม่จะได้ไม่มีความผิด คุณหญิงศรีคำโทษะเต็มประดาปล่อยทีเด็ดออกมาว่า เชิญเลย เชิญขี่ม้า ๓ ศอกไปทูลเลย ถ้ามีการซักฟอกถูกเรียกตัวไปกริ้ว ฉันจะให้การว่า เธอกับแม่ขโมยดอกไม้ที่ทรงหวงห้ามไปมัดพวงหรีดให้ลูกชายเอาไปวางศพใครไม่รู้ ๓-๔ ครั้งแล้วด้วย เธอเอาไปเล่าให้แม่เธอฟังได้เลย จากวันนั้นมาเรื่องก็เงียบไป ไม่มีการเพ็ดทูลใดๆ แต่คุณสรัท หม่อมแม่คงห้ามไม่ให้พูดกับพวกเราไปตั้งหลายวัน ต่อมาหม่อมเขียนย่องมาฟ้องคุณครูจันทร์ (อาจารย์ใหญ่) ว่านักเรียนห้องมัธยมปีที่ ๖ ชอบไปส่งเสียงอึกกะทึกข้างเรือน จะหลับนอนพักผ่อนไม่ได้เลยหนวกหูที่สุด ขอให้กักบริเวณอยู่เฉพาะหน้าอาคารโรงเรียน ไม่ให้ไปเล่นที่เรือนข้าหลวงสมเด็จหญิงพระองค์กลาง (สมเด็จเจ้าฟ้า มาลินีนพดารา กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา) จากนั้นมาพวกเราก็ถูกห้ามไปเล่นในเขตนั้น

Sunday, June 12, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๘

ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์

ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์ และเพื่อน

          วันเวลาผ่านไปต่างก็โตเป็นสาวขึ้นตามลำดับ ชักจะเห็นว่าการซุกซนภายในเขตรั้วตำหนักพระวิมาดาไม่สนุกเสียแล้ว จืดชืดซ้ำซากเลยชวนกันหนีเที่ยวไปหาเพื่อนฝูงต่างตำหนัก เช่น ตำหนักเสด็จพระองค์เหมวดี ตำหนักเสด็จพระองค์อาทรทิพยอาภา ตำหนักเสด็จพระองค์อภันตรีประชา เสด็จพระองค์ทิพยาลังการและไปสวนหงส์ ตำหนักทูลกระหม่อมหญิงวลัยอลงกรณ์ เสด็จพระองค์เยาวภาพงศ์สนิท พวกเราจำเป็นต้องหนีออกไปตอน ๕ ทุ่มไปแล้ว พวกข้าหลวงคอยเสวยเสร็จลงจากบนตำหนัก แล้วต้องมาคอยเอาตัวข้าพเจ้า ซึ่งต้องเหยียบท่านย่าทุกคืนประจำ กว่าจะเลิกเหยียบก็ ๔ ทุ่มกว่า พอท่านย่าหลับก็แอบไปรวมกับเพื่อนๆ ที่มาคอย มี ๖ คนด้วยกัน มี ม.ร.ว. อาไทย ลดาวัลย์ ม.ร.ว. วัฒนพันธ์ ชมพูนุช ม.ร.ว. วงศ์สินธุ์ สิงหรา ม.ร.ว. ศรีคำ ทองแถม น.ส. สุดา บูรณศิริ และข้าพเจ้า ย่องปีนรั้วออกไปทางหลังเขาดิน เป็นรั้วไม้ตีโปร่ง ทาสีฟ้าปีนง่ายมาก คืนหนึ่งก็ไปตำหนักเดียวแล้วหมุนเวียนกับไปจนทั่วทุกตำหนักที่รู้จักกัน พวกเขารู้ว่าพวกเราไป เขาก็จะออกมากันหลายๆ คน มานั่งรวมกลุ่มคุยกันที่ท่าน้ำหน้าตำหนัก พอเห็นพวกโขลนออกเดินตรวจ (โขลน คือผู้หญิงนุ่งน้ำเงินใส่เสื้อขาว ออกเดินตรวจตามถนนในวังตลอดทุกยามจนเช้า) มาแต่ไกล ๒ คน พวกเราต่างลุกหนีกันจ้าละหวั่น พวกข้าหลวงเสด็จเขาก็วิ่งเข้าตำหนักไป พวกเราอยู่ไกลวิ่งหนีกันสุดฝีเท้า ม.ร.ว. วัฒนพันธ์ ขาสั้นตัวเตี้ย วิ่งช้าไม่ทันพวก ความที่กลัวพวกโขลนจะจำได้ ถลกผ้าถุงที่นุ่งขึ้นมาม้วนพันไว้รอบเอว เหลือแต่กางเกงในวิ่งแจ้น โขลนวิ่งไล่มาไม่ทัน พวกเรา ๖ คน ปีนรั้วไม้โปร่งหายเข้ามาภายในหมด นึกว่าเรื่องจะจบแค่นั้น ที่ไหนได้ตอนสายวันรุ่งขึ้น โขลนเข้าเฝ้าทูลฟ้องว่าข้าหลวงที่ตำหนักนี้หนีเที่ยวเมื่อคืนไล่จับไม่ทัน เห็นชัดคนเดียวนุ่งกางเกงขาสั้นสีขาว เมื่อทรงสอบสวนดูทุกคนแล้ว ข้าหลวงไม่มีใครนุ่งกางเกง เรื่องก็เลยเงียบไปโดยหาตัวลงโทษไม่ได้ แต่พวกเราก็ไม่เข็ด คราวต่อไปเรารีบกลับก่อนโขลนออกตรวจตอน ๒ ยาม
          น่าเห็นใจชีวิตที่ถูกขังอยู่ในวัง ไกลพ่อไกลแม่ ไปไหนก็ไม่ได้ไป เล่นอะไรก็ไม่ได้ถูกห้ามไปทุกอย่าง สมัยนั้นวิทยุก็ยังไม่มีฟัง โทรทัศน์ก็ยังไม่มีดู ออกจากประตูวังไปไหนก็ไม่ได้ เหมือนนกติดกรงขัง ร้องเพลงเล่นกันดังก็ไม่ได้ต้องกระซิบร้องกันเบาๆ เด็กมันไม่มีทางออกหาความเพลิดเพลิน ก็เลยซุกซนขโมยโน่นนี่ไปตามเรื่อง
          ครั้งหนึ่งในเดือน ๑๒ น้ำเต็มฝั่ง ที่ข้าง ร.ร. นิภาคาร ซึ่งพวกเรากำลังเรียนอยู่ มีโรงเก็บเรืออยู่ใกล้ๆ มีเรือเล็กๆ กำลังน่าเล่นลอยอยู่ ๓-๔ ลำ หยุดพักเที่ยงทานอาหารแล้วก็พากันมานั่งเล่นในโรงเรือ เห็นเรือถูกล่ามโซ่ใส่กุญแจไว้ทุกลำ แรกก็ลงไปนั่งในเรือโยกโคลงเล่นเฉยๆ ต่อมาความสนุกแค่นั้นไม่พอ จึงถาม ม.ร.ว. สรัท สุประดิษฐ์ ว่า "รู้ไหมใครเก็บกุญแจเรือ" คุณสรัทไม่พูด คุณหญิงศรีคำตอบแทนว่า หม่อมเขียน แม่เขานั่นแหละเป็นคนเก็บ พี่เนื่องบังคับให้เขาไปหยิบมาซี เธอกำความลับคุณสรัทเขาไว้ไม่ใช่รึ เขากลัวเธอเขาต้องไปเอามา

Saturday, June 11, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๗

ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์

ม.ร.ว. วงศ์สินธุ์ สิงหรา

ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์ และเพื่อนๆ


          วันหนึ่งท่านย่าให้แม่เอมทำข้าวตังนังเล็ด คือข้าวตังทอดโรยน้ำตาล เคี่ยวเหนียวๆ ใส่มาประมาณ ๑ จานกินข้าว เอามาวางไว้ที่โต๊ะริมระเบียงเรือน คุณหญิงศรีคำตื่นนอนเข้ามาก่อนข้าพเจ้า โผล่จากมุ้งมาเจอจานข้าวตังพอดี ไม่ต้องล้างหน้าแปรงฟัน ตรงเข้าโจ้เลย ท่านย่าโผล่มาเห็นพอดี ถูกกริ้วหาว่าตะกระตะกราม ของก็จะทำมาให้กินอยู่ รีบร้อนทำไม ควรไปอาบน้ำแปรงฟันก่อน แต่งตัวเรียบร้อยจึงมานั่งโต๊ะอาหาร ไม่ได้เลี้ยงให้อดอยากซักหน่อย ท่านย่าสั่งแม่เอมให้ทำข้าวตังยังงี้มาอีก ๑ กระด้ง จะให้กินให้หมด ถ้ากินไม่หมดจะเอายีหัว ๑ ช.ม. ผ่านไปข้าวตังมาวาง ๑ กระด้ง ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ร้อนแทนคุณหญิงจริงๆ ถึงจะเข้าไปช่วยเขากินก็กินไม่ไหวมันมากจริงๆ คุณหญิงก็ไม่กินนั่งร้องไห้ตลอดเวลา ถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง รีบวิ่งไปห้องเครื่องที่ท่านย่านั่งทำงานอยู่บนแคร่ใหญ่ ทูลท่านทำหน้าตาตื่นว่า คุณศรีคำเขาแน่นกำลังจะจุกเพราะเขากินเข้าไปเยอะแล้ว ว่าแล้วกราบลงขอประทานโทษแทน ให้เขาเลิกกินเถอะเขาสัญญาต่อไปจะไม่ตะกระอีกแล้วจะเข็ดจะจำ ท่านย่าจะยกโทษให้หรือไม่ข้าพเจ้าไม่รอฟังคำตอบ รีบวิ่งกลับมาเรือนยกกระด้งข้าวตังมาคืนแม่เอม แม่เอมว่า แหมคุณเนื่องทูลท่านเสียตกใจว่ากำลังจุกกำลังแน่น ข้าวตังไม่แหว่งซักหน่อย
          คุณหญิงศรีคำเป็นข้าหลวงที่เจ้านายทรงพระเมตตาอยู่มาก ตามเสด็จเฝ้าสนิทชิดเชื้อทุกวันประจำ กลับจากโรงเรียนแล้วต้องรีบทำการบ้านเสร็จ ทานของว่างเสร็จรีบไปอาบน้ำแต่งตัวขึ้นเฝ้า จนเสวยค่ำเสร็จ ๔ ทุ่ม (๒๒.๐๐ น.) จึงลงจากบนตำหนัก วันอาทิตย์ไม่ต้องไปเรียนหนังสือ ก็ต้องขึ้นไปหัดงานดอกไม้กับผู้ใหญ่บนตำหนัก ข้าพเจ้ามีครูสอนดอกไม้ที่ใจดีมาก คือ เจ้ามุกดา ณ เชียงใหม่ สอนมั่ง น.ส. ประทุม รัตนาคาร ข้าพเจ้าเรียก พี่ทุม ก็ช่วยจับมือหัดให้ ถ้างานปักพัด ปักสะดึง ก็มี คุณหญิงเกื้อกมล และพี่มอญฝึกหัดให้ เราก็เรียนฝึกหัดทำมาด้วยกันกับคุณหญิง ร้อยมาลัยสบายอย่างนึงคือไม่ต้องนั่งร้อยอุบะเอง มีแม่เพิ่มแก่ร้อยอุบะกับคุณวงศ์สินธุ์ แม่เพิ่มผอมแก่นี้มีหน้าที่ประจำ คือปรุงน้ำอบไทยที่เจ้านายทรงใช้ เป็นคนปรุงน้ำอบไทยหอมอย่างร้ายกาจ เมื่อแม่เพิ่มตายแล้ว จึงทรงใช้น้ำอบไทยที่เจ้าจอมมารดาเหม ส่งมาถวายประจำ กองอุบะของแม่เพิ่มได้คุณหญิงศรีคำ เพิ่มมาช่วยอีกคน เพราะไม่ชอบร้อยมาลัย เลยขอตัวไปอยู่ทำอุบะ ซึ่งก็เป็นการดีเพราะเมื่อข้าพเจ้าร้อยตัวมาลัยเสร็จไปขออุบะแม่เพิ่มแก่ไม่ให้ แกเกลียดปากข้าพเจ้าชอบไปค่อนว่าแก แกให้ร้อยเอาเอง ข้าพเจ้าเบาใจเมื่อคุณหญิงมาอยู่กองอุบะ เธอร้อยให้ข้าพเจ้าทุกครั้งไม่ต้องเดือดร้อน
          ถ้าคราวใดต้องร้อยตาข่าย ติดลวดลาย ต้องทำกันยันรุ่งติดต่อกันไม่ได้นอน ๓ วัน ๓ คืน นั่งโงกหงุบหงับ พี่มอญไล่ไปล้างหน้า ไปกินของว่างตอนดึก มันก็ไม่หายง่วงต้องออกอุบายว่าไปถ่ายหนัก คือไปกันได้หลายๆ คนเพราะกลัวผี ห้องถ่ายหนักปลูกอยู่ท้ายวัง ต้นไม้ใหญ่ขึ้นคลุมมืดทมึน ถึงจะมีแสงไฟฟ้าเปิดอยู่ก็ริบหรี่ไม่ทำให้หายกลัว ตามเรือนหม่อมเจ้าหรือเรือนข้าหลวงสมัยนั้นไม่นิยมทำห้องน้ำ-ห้องส้วมไว้ในตัวอาคาร คงจะหาว่าสกปรกไปหนักไปเบาก็ต้องไปถ่ายยังแถวห้องส้วมท้ายวัง ซึ่งรวมเป็นแถวอยู่ติดกำแพงด้านถนนใบพร การอาบน้ำของทุกคนก็เหมือนกัน ต้องไปอาบลานซีเมนต์กลางแจ้งมีก๊อกน้ำติดอยู่ มุมลานมีโอ่งวางให้ ๑ ใบ ยืนนุ่งผ้ากระโจมอกอาบกันโล่งๆ งั้นแหละ ใครอายก็เก็บเอาไว้อาบตอนมืดๆ คุณหญิงศรีคำ-คุณวงศ์สินธุ์ และข้าพเจ้านิยมไปอาบในคลองเพราะได้ดำผุดดำว่าย โดดน้ำจากบนสะพานข้ามคลอง บางทีปีนขึ้นไปบนกิ่งมะเดื่อป่าสูงๆ แล้วทิ้งตัวลงมา เราเล่นกัน ๓ คนทุกวัน ผู้ใหญ่ในวังทุกคนแม้แต่พวกครู ตั้งฉายาข้าพเจ้าว่า นำเบอร์หนึ่ง คุณวงศ์สินธุ์เป็นนำเบอร์สอง คุณหญิงศรีคำเรียบร้อยแอบซนเงียบๆ สุดแต่ข้าพเจ้าจะนำไปในเรื่องอะไรเอาด้วยทุกเรื่อง ผู้ใหญ่กลับเห็นว่าเป็นเพราะถูกชักนำ ว่าที่จริงๆ โตๆ กันแล้ว มาได้คิดภายหลังจะว่าผู้ใหญ่ร้ายก็ไม่ถูก เป็นเพราะเรามันเหลือขอจริงๆ ผู้ใหญ่ทุกคนอยากเห็นเราเป็นคนดี

Monday, June 6, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๖

ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

ม.ร.ว. เกื้อกมล (นันทวัน) สวัสดิ์สรยุทธ

 ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์ และเพื่อนๆ 

           ตั้งแต่วันนั้นมา มีงานพิเศษใดๆ บนตำหนัก ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปพร้อมๆ กับคุณหญิงศรีคำ ถ้าไม่มีงาน เราก็ไปเรียนหนังสือกันตามเคย บางวันเรียกชื่อแล้วกำลังจะเรียน ถ้ามองแต่ไกลเห็นเจ้ามุกดา ณ เชียงใหม่ หรือ น.ส. ประทุม รัตนาคาร เดินยิ้มมาหาคุณครูจันทร์ นักเรียนจะดีใจกันจริงๆ ด้วยนำคำสั่งปิดโรงเรียนมาให้นักเรียนขึ้นไปทำงานบนตำหนัก ครูๆ ก็เลยต้องขึ้นไปทำกับเขาด้วยไม่กล้ากลับไปบ้าน โรงเรียนในวังหยุดบ่อยที่สุด ต้องขยันหมั่นจดท่องเอาเองให้ทันกับหลักสูตรของครูโดยเรียนหลักสูตรของกระทรวง เวลาสอบไล่ไปสอบกับโรงเรียนสายปัญญา คุณหญิงศรีคำยิ่งโตยิ่งดื้อมาก การบ้านวันไหนเป็นวิชาที่ชอบทำ จึงจะทำ ถ้าวิชาไม่ชอบข้าพเจ้าต้องทำให้ด้วยกลัวเขาถูกครูตี ข้อที่ขี้เกียจที่สุด คือเวรทำความสะอาดห้องเรียน ผลัดกันทำเวรละคน พอถึงเวรคุณหญิง ข้าพเจ้าทำให้โดยมีข้อสัญญาว่า เย็นนี้จะต้องตัดผมให้ข้าพเจ้า พอถึงเวรของข้าพเจ้าจริงก็ไปเข็นให้ ม.ร.ว. อาไทย ลดาวัลย์ (พวกสกุลลดาวัลย์ เป็นหลานพระวิมาดาทั้งนั้น) หรือ ม.ร.ว. วัฒนพันธ์ ทำแทน โดยตกลงว่าจะเล่านิทานสนุกๆ ให้ฟัง ทั้งที่นิทานที่เล่าข้าพเจ้าก็กุขึ้นมาเอง เพราะไม่มีหนังสือที่ไหนจะมาอ่าน
          คุณหญิงศรีคำมีพรสวรรค์ที่พิเศษจริงๆ ในเรื่องตัดผม จะเป็นผมบ๊อบ ผมชิงเกิล ผมม้า ผมกระทุ่มคนแก่ ตัดได้หมด ตัดได้สวยด้วยแล้วตัดฟรีด้วย เด็กในวังมาขอให้ตัดกันแทบทุกคน ตอนนี้ชักจะโตรุ่นๆ กันขึ้นมาแล้ว คุณหญิงรุ่นสาว มีความเฉยขรึมพูดน้อยลง ความดื้อรั้นเมื่อสมัยเด็กกลายเป็นความเด็ดขาด เมื่อโตสิ่งใดพูดแล้วๆ กัน ไม่พูดพล่ามทำเพลงเหมือนข้าพเจ้า เวลาคุณหญิงตัดผมให้ข้าพเจ้า เธอจะต้องออกคำสั่งว่า นั่งนิ่งๆ อย่าพูดคุยดุกดิกนะ ไม่งั้นจะตัดไว้ครึ่งหัว อีกครึ่งมาตัดต่อพรุ่งนี้ เวลาตัดผมก็มีเพื่อนๆ มานั่งล้อมดูอยู่ ยากที่ข้าพเจ้าจะอดพูดอดคุยได้ แล้วก็จริงๆ เลย ตัดผมบ๊อบข้าพเจ้าไว้ครึ่งหัว อีกครึ่งให้มาต่อพรุ่งนี้ โทษที่ดุกดิกไม่เชื่อฟัง ข้าพเจ้าจนใจต้องจำยอม ท่านย่าเห็นผมเข้าแทนที่จะกริ้วคุณหญิง กลับกริ้วข้าพเจ้าว่าดีแล้วที่อยากไม่อยู่สุข
          กิจที่เราต้องยกทีมทำกันเป็นล่ำเป็นสัน คือการออกเก็บผลไม้-ดอกไม้ที่ทรงหวงห้าม เพราะพึ่งแรกมี ผลิดอกออกผลใหม่ๆ เช่น ดอกแคทลียาสวยๆ มีมาก หวายช่องาม ดอกไฮเดรนเยียร์สีฟ้าอ่อน กระปุกใหญ่ๆ ผลไม้ที่พวกเราชอบไปเก็บมี สะท้อน ทับทิม มังคุด มะม่วง มะปรางหวาน ฝรั่งขี้นกไส้แดงๆ ไปจนถึงมะดัน เชอรี่ ลูกเลี่ยมซุย มะไฟหวาน ทุกครั้งที่เราแอบชวนกันไปเก็บตอน ๕ ทุ่ม ๒ ยาม คุณวงศ์สินธุ สิงหรา (หลานหม่อมเจ้าหญิงแย้มเยื้อน สิงหรา) จะเป็นผู้ตำพริกกะเกลือห่อไป หม่อมเจ้าหญิงแย้มเยื้อนนี้ ข้าพเจ้าเรียกท่านอา ท่านช่วยกับท่านย่าเลี้ยงข้าพเจ้ามาตั้งแต่ ๑ ขวบ ท่านรักข้าพเจ้ามากกว่าคุณวงศ์สินธุหลานแท้ๆ ของท่าน คุณวงศ์สินธุเป็นคนด่าเก่งปากจัด เป็นหัวโจกแทบทุกกรณี ที่ออกไปล่าดึกๆ และก็ปลอดภัยจากการรู้เห็นของผู้ใหญ่เสียด้วย นับว่าเป็นผู้นำขโมยที่ดีทีเดียว ครั้งหนึ่งตอนบ่ายๆ คุณหญิงศรีคำมาบอกข้าพเจ้าว่า ต้นสะท้อนที่ท่าน้ำข้าหลวงลูกเหลืองเต็มต้น เราไปแอบเก็บกันเถอะ ฉันชวนสุดามาด้วยแล้ว เขาขึ้นต้นไม้เก่ง นางสาวสุดา บูรณศิริ (ธิดาพระยาอรรคราชโยธิน คุณหญิงชมเป็นมารดา) เท่านั้นเราก็เปิดฉากเก็บกันเลย ด้วยตอนบ่ายโมงสองโมงแดดร้อนจัด ผู้ใหญ่ไม่ใคร่มาเดินกัน สุดาขึ้นไปบนต้น ข้าพเจ้ากับคุณหญิงคอยเก็บใส่ถุง ตะโกนคุยกันจากบนต้น คงดังมากแต่เราไม่รู้สึกด้วยกำลังสนุก คุณพระเลื่อนเดินมาข้างหลัง จับตัวข้าพเจ้าและคุณหญิง จูงชนิดลากจะเอาตัวไปฟ้องท่านย่า คุณหญิงตกใจกลัวมาก พอที่คุณพระเลื่อนจะไม่เห็นคุณสุดา ซึ่งกอดอยู่กับกิ่งนิ่งเงียบแทบไม่หายใจ คุณหญิงแหงนหน้าตะโกน สุดาลงมาเหอะ เขาเห็นเราแล้ว สุดาโมโหใหญ่ว่า บอกเขาทำไม เขาไม่เห็นอยู่แล้ว ทีหลังอย่ากินเลย ว่าที่จริงอ้ายสะท้อนมันก็ยังอ่อน ถึงเก็บมากินก็ไม่ได้ แต่ด้วยความซุกซน คุณหญิงตะโกนไปก็เพราะอ่อนหัดไม่ใช่ขโมยในสันดาน อย่าว่าแต่เราเป็นข้าหลวงรุ่นกลางเลย รุ่นใหญ่ก็ขโมยด้วย มันตื่นเต้นสนุกดีจัง ม.ร.ว. เกื้อกมล (นันทวัน) สวัสดิ์สรยุทธ ก็ไปแอบเก็บมะม่วงมัน ให้ น.ส. มาลี มานิตยกุล (ธิดาเจ้าคุณมานิตกุลพัฒน์) เป็นผู้ปีนต้นขึ้นไป ตอนนี้เป็นเวลา ๒ ยามกว่าแล้วกำลังเก็บเพลิน คุณพระเลื่อนเดินมาเรือนพบเข้า ไม่เห็น น.ส. มาลีบนต้น ก็เลยจับคุณหญิงเกื้อกมล จะเอาตัวไปฟ้องท่านโอภาษผู้เป็นท่านอา คุณหญิงเกื้อกมลตกใจกลัวมากปากสั่นบอกคุณพระเลื่อนว่า มาลีเขาอยู่บนต้นอีกคนหนึ่ง" คุณพระเลื่อนจึงเรียกให้ลงมา เห็นมาลีเขาร้องไห้ เลยใจอ่อนเทศนา ๒-๓ คำแล้วปล่อยตัวไป