ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์
น.ส. ฉวี มิลินทะจินดา และ น.ส. พูล อมาตยกุล
ที่คุณหญิงศรีคำว่าคุณสรัทกลัวข้าพเจ้านั้น มันมีเรื่องนิดเดียวที่ข้าพเจ้าบังเอิญไปรู้เข้า คือคุณสรัทแอบแนะนำพี่ชายของตนซึ่งอยู่บ้านนอกวังให้รู้จักกับข้าหลวงสวยคนหนึ่ง และได้มีจดหมายติดต่อถึงกัน ก็เท่านั้นเอง เขาไม่เคยได้ออกไปพบกันเลย ถึงกระนั้นก็เถอะ ถ้ารู้ถึงหูผู้ใหญ่ว่าเขียนจดหมายคุยกับผู้ชาย ถือว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์ โทษถึงเลี้ยงไม่ได้ต้องคืนตัวไปให้พ่อแม่เชียว ทำไมข้าพเจ้าจึงรู้เรื่องเขา วันนั้นท่านย่าใช้ข้าพเจ้าให้เอาน้ำอบไทยไปให้นายป๋อ นายป๋อนี้เป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย แต่เพราะเป็นนายใหญ่ควบคุมประตูวัง คอยจับข้าหลวงไม่ให้ออกไปนอกประตูวัง ชายคนนี้ยืนลับล่ออยู่นอกประตูวัง เห็นข้าพเจ้าเข้ารู้จักกัน เพราะตอนเป็นเด็กเขาเคยอยู่ในวังกับแม่เขามาก่อน แล้วออกไปอยู่นอกวังเมื่ออายุ ๑๐ ขวบ เขากวักมือเรียกข้าพเจ้าและกระซิบฝากจดหมายมา ข้าพเจ้าก็เอามาเปิดอ่านกับคุณหญิงศรีคำ เราจึงรู้เรื่องของเขา แล้วข้าพเจ้าก็เอาจดหมายให้คุณสรัทแล้วว่า “เธอเป็นสื่อให้กับใครก็เอาไปให้เขาเสีย” คุณสรัทขอร้องไม่ให้ข้าพเจ้าเอาไปพูดกับใคร ข้าพเจ้าจึงเอาเรื่องนี้มาขู่เขาให้ไปเอากุญแจเรือมา เขาจำต้องยอม โชคยังเป็นของเราที่หม่อมเขียนหลับ เลยได้กุญแจมาอย่างง่ายดาย เราไขเอาเรือออก ๒ ลำ ลงไปนั่งพายกันลำละ ๓ คน มีคุญหญิงศรีคำ คุณสรัทและข้าพเจ้า อีกลำมี ม.ร.ว. วัฒนพันธ์ น.ส. สุดา และ น.ส. ฉวี มิลินทะจินดา เราเรียกกันว่าฉวีใหญ่ ต่อมาได้สมรสกับ ร้อยตรี สฤษดิ์ ธนะรัช (จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัช) ที่จริงแล้วคำว่า นางสาว ที่เรียกกันมาทุกคน อยากจะเรียกว่า คุณโน่น คุณนี่ จะแย่เสียแล้ว แต่เรียกไม่ได้ ในวังถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จะเรียกใครว่าคุณ ผู้นั้นต้องเป็น คุณจอม เช่น คุณจอม หม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ หรือผู้เป็น หม่อมราชวงศ์ จึงเรียกคุณได้ ถ้าเป็นหม่อมหลวง เรียกคุณไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น หม่อมหลวงดังชื่อต่อไปนี้ ต้องเรียกแม่ เช่น แม่เนื่อง แม่เฉลียว แม่สละ แม่สมนึก แม่สมาส แม่มานิต ผู้เป็นนางสาว ถึงจะเป็นลูกพระยาเจ้าเมือง เช่น นางสาวเพิ่ม เดชะคุป ธิดาพระยาโบราณราชธานินก็เรียก แม่เพิ่ม นางสาวสุดา บูรณศิริ ธิดาพระยาอรรคราชโยธิน ก็เรียก แม่สุดา พอออกมาอยู่นอกวัง ทุกคนที่เคยเป็นแม่กลับกลายเป็นคุณหมด อย่างข้าพเจ้า ใครก็เรียกคุณเนื่องแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอเกิดชาติใหม่
แล้วเราก็หัดพายเรือเก้ๆ กังๆ หมุนไปหมุนมาอยู่ในโรงเรือนั่นแหละ ไม่กล้าพายออกมานอกหลังคาคลุม ด้วยกลัวจ้าวนายทอดพระเนตรเห็นเข้า คุณหญิงศรีคำเป็นผู้ถามคุณสรัทขึ้นมา “เธอไปเอากุญแจมาได้ยังไง หม่อมแม่ไม่เห็นรึ” คุณสรัท ตอบว่า “แม่หลับ” ข้าพเจ้าก็เลยว่าต่อไปให้เลยว่า “คนแก่จะไปรู้อะไร หลับแล้วเหมือนตายเลย งกพิลึก เข้าของก็ไม่ใช่ของตัวทำงกไปได้ ตายเมื่อไหร่จะเอาเรือทำฟืนเผาไปให้” ว่าแล้วก็วาดเรือเทียบตลิ่งก้าวขึ้นบก เงยหน้าเจอหม่อมเขียนยืนท้าวเอว หน้าตาถมึงทึงตาเขียวเชียว ตกใจแทบช๊อคตาย เสียงหม่อมเขียนตวาดว่า “ไปขโมยกุญแจมาไขเอาเรือเล่นแล้วยังมาด่าให้อีกแน่ะ คนอะไรเก่งไม่เคยพบเคยเห็น” แล้วกระชากข้อมือคุณสรัทไปชำระความกันแม่ๆ ลูกๆ พวกเราไม่รอช้าวิ่งหนีหายวับเข้าห้องเรียนไปเลย เพราะได้เวลากระดิ่งเข้าเรียนพอดี สักครู่ คุณสรัทก็เข้ามานั่งที่โต๊ะเรียน ตาแดงช้ำแสดงว่าร้องไห้มา แต่เขาไม่พูดกับพวกเราเลย ข้าพเจ้าอดไม่ได้ถามเขาว่า “หม่อมแม่ว่าไง กะอีเรื่องลงไปนั่งเรือเล่นเฉยๆ ไม่ได้ไปฆ่าใครตายซักหน่อย ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้” คุณสรัทจึงว่า “แม่บอกว่าจะขึ้นไปกราบทูลให้ทรงทราบ ถ้าเรือเกิดชำรุดเสียหายไป แม่จะได้ไม่มีความผิด” คุณหญิงศรีคำโทษะเต็มประดาปล่อยทีเด็ดออกมาว่า “เชิญเลย เชิญขี่ม้า ๓ ศอกไปทูลเลย ถ้ามีการซักฟอกถูกเรียกตัวไปกริ้ว ฉันจะให้การว่า เธอกับแม่ขโมยดอกไม้ที่ทรงหวงห้ามไปมัดพวงหรีดให้ลูกชายเอาไปวางศพใครไม่รู้ ๓-๔ ครั้งแล้วด้วย เธอเอาไปเล่าให้แม่เธอฟังได้เลย” จากวันนั้นมาเรื่องก็เงียบไป ไม่มีการเพ็ดทูลใดๆ แต่คุณสรัท หม่อมแม่คงห้ามไม่ให้พูดกับพวกเราไปตั้งหลายวัน ต่อมาหม่อมเขียนย่องมาฟ้องคุณครูจันทร์ (อาจารย์ใหญ่) ว่านักเรียนห้องมัธยมปีที่ ๖ ชอบไปส่งเสียงอึกกะทึกข้างเรือน จะหลับนอนพักผ่อนไม่ได้เลยหนวกหูที่สุด ขอให้กักบริเวณอยู่เฉพาะหน้าอาคารโรงเรียน ไม่ให้ไปเล่นที่เรือนข้าหลวงสมเด็จหญิงพระองค์กลาง (สมเด็จเจ้าฟ้า มาลินีนพดารา กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา) จากนั้นมาพวกเราก็ถูกห้ามไปเล่นในเขตนั้น
No comments:
Post a Comment