ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์ กล่าวว่า ผู้ได้ชื่อว่า ''ทำกับข้าวเป็น'' จะต้องมาจากการฝึกทำบ่อยๆ รู้จักปรับรสชาติที่ไม่เข้าที่เข้าทางให้กลมกล่อมตามสูตรดั้งเดิม ยิ่งไปกว่านั้น เสน่ห์ปลายจวักยังอยู่ที่การคาดคะเนเป็น เพราะพริก หอม กระเทียม เครื่องปรุงต่างๆ นั้นก็มีขนาดเล็ก-ใหญ่ ไม่เท่ากัน กับข้าวในวังก็เหมือนกับที่กินกันทั่วไป แต่อร่อยที่การปรุงรส อาหารทุกอย่างมีขั้นตอนที่คนปรุงต้องเรียนรู้และฝึกฝน





M.L. Nueang Nilrat is a person who defines the term "good cooking" or in other words is "a person who really knows how to cook" this consists of practicing often and learning how to add flavours according to traditional recipes. Moreover, the charm of cooking is being able to estimate the various sizes of ingredients, such as chillies to onion and garlic that gives different degrees of taste. Royal cuisine does not distinguish itself from general Thai cuisine but for the differences in the amounts of ingredients added this gives Royal cuisine its distinct flavours. All the kinds of food that we cook have their own unique methods that depend on the cooks know how.



Saturday, July 23, 2011

จำให้ขึ้นใจ ไว้เตือนตัวเอง

          คำกลอนบทนี้ ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์ คิดผูกขึ้นเอง ตามประสาคนไม่มีความรู้ในทางแต่งบทกลอน จึงอ่านแล้วไม่รื่นหู แต่เป็นสัจธรรมแห่งโลก ท่านที่เก่งในทางกาพย์กลอน โปรดให้อภัยข้าพเจ้าด้วย

     เกศาผมหงอกบอกว่าตัวเฒ่า
ตาหูฟันเล่าแก่แล้วทุกประการ
สังขารร่างกายอาศัยมานาน
คอยความวายปราณมาถึงเมื่อใด
เร่งทำความดีอย่าได้รอไป
ย้ายภพภูมิใหม่ไปเกิดที่ดี
บุญทานทำไว้จิตใจศีลมี
รูปงามเป็นเศรษฐีต้องใช่ตัวเรา


Saturday, July 9, 2011

ห่อหมกปลากราย

ตำรับบ้าน ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์ ปรุงโดย นิจ เหลี่ยมอุไร

เครื่องแกง
พริกแห้ง แช่น้ำให้นุ่ม                                 ๓๐      กรัม
ตะไคร้                                                  ๒๐      กรัม (๑ ต้น)
ข่า                                                      ๑๐      กรัม
ผิวมะกรูด                                                      กรัม
หอมแดง                                               ๒๕     กรัม
กระเทียม                                              ๒๐      กรัม
รากผักชี                                                        ราก
กระชาย                                                ๓๐      กรัม
พริกไทย                                               ๑/๒     ช้อนชา
กะปิ                                                    ๑๐      กรัม

เครื่องปรุง
เนื้อปลากรายขูด                                      ๑/๒     ก.ก.
ไข่เป็ด                                                          ฟอง
กะทิ                                                    ๒ ๑/๒ ถ้วย
น้ำปลา                                                         ช้อนโต๊ะ
เกลือ                                                           ช้อนชา
น้ำตาล                                                         ช้อนชา
แป้งข้าวเจ้า                                                    ช้อนชา

วิธีทำ
พริกชี้ฟ้าแดงซอยเป็นเส้นๆ                                  เม็ด
ใบมะกรูดซอยเป็นเส้นๆ                                      ใบ
ใบโหระพาเด็ดเป็นใบๆ                               ๑๐๐    กรัม
ผักกาดขาวหรือกะหล่ำปลีซอยหยาบๆ             ๑๐๐    กรัม
ใบยอซอยหยาบๆ                                     ๑๐๐    กรัม

วิธีทำน้ำพริกแกง
โขลกพริกแห้ง ตะไคร้ ข่า ผิวมะกรูด หอมแดง กระเทียม รากผักชี กระชาย พริกไทย ให้ละเอียด แล้วค่อยใส่กะปิลงไป โขลกต่อให้ละเอียด

วิธีทำห่อหมกปลากราย
๑. นำกะทิประมาณ ๑ ถ้วยใส่ในชามผสม ใส่น้ำพริกแกงลงไป คนจนน้ำพริกละลายเข้ากันดี
๒. ใส่ปลากรายขูดลงไป คนให้ส่วนผสมเข้ากัน ค่อยๆ เติมกะทิที่เหลือลงไปจนหมด
๓. ปรุงรสด้วยน้ำปลา เกลือ น้ำตาล แล้วตอกใข่ใส่ลงไป คนให้เข้ากัน
๔. ลวกผัก บีบน้ำออก แล้วคลุกกับส่วนผสมที่ได้นิดหน่อย แล้วนำไปรองก้นกระทง
๕. ตักส่วนผสมใส่ลงไปจนเกือบเต็มกระทง จัดเรียงลงในรังถึง แล้วนึ่งไปประมาณ ๓๐ นาที
๖. ทำกะทิหยอดหน้าห่อหมก โดยนำกะทิ ๑/๒ ถ้วย ผสมกับแป้งข้าวเจ้า นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนจนข้น ยกลงพักไว้
๗. เมื่อนึ่งครบ ๓๐ นาที ราดหน้าแต่ละกระทงด้วยหัวกะทิที่เตรียมไว้ โรยด้วยใบมะกรูด และพริกชี้ฟ้า (ถ้ามีผักชี ก็เด็ดเป็นใบๆ โรยลงไปด้วย) นึ่งต่อไปอีกประมาณ ๒ นาที ก็ปิดเตาและยกลงได้

วิธีทำกระทง ๔ มุม
ฉีกใบตองกว้างประมาณ ๕ ๑/๒ นิ้ว เอามาซ้อนกัน หาภาชนะกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง ๕ นิ้ว วางลงบนใบตอง ใช้มีดคมๆ กรีดรอบภาชนะนั้น ใบตองจะขาดเป็นแผ่นกลม จับวางซ้อนเอาทางมันออกข้างนอก สับเส้นริ้วใบตองกะให้เท่ากัน แล้วหักมุมมาเกย กลัดไม้กลัดทั้งสี่มุม

เครื่องแกง

คนให้ส่วนผสมเข้ากัน

ผักลวกรองก้นกระทง

ตักส่วนผสมใส่ลงในกระทง

กะทิหยอดหน้าห่อหมก ใบมะกรูดซอย พริกชี้ฟ้าซอย และผักชีเด็ดเป็นใบๆ

ห่อหมกปลากราย

Saturday, July 2, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ~จบ~

ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์


ม.ร.ว. ศรีคำ ทองแถม


          ข้าพเจ้าจึงเข้าใจซึ้งว่า เขาก็รักปราถนาดีต่อเราไม่น้อยเลย ต่อมาข้าพเจ้าพาตัวพระเอกของข้าพเจ้าไปให้ดู โดยเรานัดกันไปเที่ยวชลบุรี มี คุณหญิง ม.ร.ว. เกื้อกมล สวัสดิ์สรยุทธ ไปด้วย คุณหญิงศรีคำจึงได้เห็นพระเอกของข้าพเจ้า เขาว่า พี่เนื่องเธอนี่ยังโกหกเหมือนเมื่อเด็กๆ นะแก้ไม่หาย
          จากนั้นเราก็ไปมาหาสู่กัน ไปทำบุญที่ไหนเราก็ไปด้วยกันทั้งใกล้และไกล เมื่อประมาณ ๒ ปีมานี้ ได้ทราบว่าไม่ใคร่สบายเบื่ออาหาร ข้าพเจ้าก็ทำอาหารเลือกเอาแต่ที่คุณหญิงชอบส่งไปให้ทานที่บ้านเป็นนิจสิน ด้วยรู้ว่าคนไม่สบายมักเบื่ออาหารบ้านตัวเอง หลังจากที่รักษาย้ายไปหลายแห่ง อาการไม่ดีขึ้นเลย ก็เข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลสมิติเวช กินยาก็แล้วผ่าตัดก็แล้ว ไปนอนโรงพยาบาลสมิติเวชตั้ง ๒-๓ ครั้ง ช่วยให้หายไม่ได้มีแต่ทุเลาเป็นครั้งคราว ใครบอกว่ามียาดีอยู่ที่ไหน ไกลเท่าไหร่ก็ไปซื้อมากิน ยาต้มหม้อละ ๔-๕ พันบาทก็ซื้อ กิน ๓-๔ หม้อยิ่งทรุดลงไป คุณหมอกำชัย ลูกชายคุณหญิงเป็นหมอประจำอยู่โรงพยาบาลราชบุรี ภรรยาคุณหมอก็เป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลราชบุรีเหมือนกัน ได้ตรวจว่าโรคที่เป็นนี้ไม่มีทางรักษาให้หายได้แล้วนอกจากเทวดาจะมาโปรด จึงชี้แจงขอให้คุณแม่ไปนอนเจ็บสะดวกแก่การดูแลเอาใจใส่ ซึ่งคุณหญิงก็ยินยอมสมัครใจไป ข้าพเจ้ากลัวการเดินทางโดยรถประจำทางจึงไม่กล้าไปเยี่ยม คุณพิศมัยเพื่อนบ้านที่ชอบกันมากไปเยี่ยม เธอก็ว่ามากับคุณพิศมัยว่า พี่เนื่องใจดำจึงไม่มาเยี่ยมเลย คุณพิศมัยมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง แล้วบอกว่า ถ้าพี่เนื่องไม่ไปเยี่ยมในวันสองวันนี้ กลัวว่าจะไม่ได้พบเห็นกันอีกเลย ข้าพเจ้าตกใจมากเลิกกลัวอะไรๆ หมด วานคุณพิศมัยให้ช่วยพาไปเร็ว รุ่งขึ้นวันที่ ๒ มกราคม เราก็ไปกัน ๒ คน ไปถึงโรงพยาบาลราชบุรีเกือบ ๑๓.๐๐ น. ไปถึงคุณหญิงไม่พูดเสียแล้ว เห็นข้าพเจ้าเข้าร้องไห้น้ำตาไหลเป็นทาง ข้าพเจ้าก็ปลอบใจไว้สุดแต่จะหาคำพูดได้ในขณะนั้นและนั่งอยู่ด้วยจนบ่าย ๔ โมงเย็น จึงจากมาขากลับข้าพเจ้าเข้าไปลาก็ร้องไห้อีก คงจะได้รู้ตัวว่า เราต้องจากกันอย่างไม่มีวันพบเห็นกันอีกต่อไป รุ่งเช้าวันที่ ๓ มกราคม ข้าพเจ้าก็ได้รับข่าวร้ายว่า คุณหญิงศรีคำ ถึงแก่กรรมเสียแล้ว คล้ายกับจะเจ็บรอให้ข้าพเจ้าไปเยี่ยม พอพบหน้ากันแล้วก็จากกันไปเลย ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายอ่านเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมาทั้งหมดก็ย่อมจะเข้าใจเองว่า ข้าพเจ้าทุกข์ร้อน-เสียดาย-เสียใจ สักแค่ไหนเกินกว่าที่จะบอกเล่าออกมาเป็นคำพูด จึงขอจบเรื่องด้วยชีวิตที่ปิดฉากลงไปแล้ว

                            กราบสวัสดี แด่ท่านที่ทนอ่านทุกๆ ท่าน
                            ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

          จบแล้วค่ะงานเขียนชิ้นแรกของคุณย่า สอบถามจากป้า (นิจ เหลี่ยมอุไร) ว่าคุณย่าทำอาหารอะไรส่งไปให้คุณหญิงศรีคำ ป้าบอกว่า คุณหญิงศรีคำชอบแกงคั่วเห็ดฟางพริกขี้หนูสดมาก ข้าวตัง-เมี่ยงลาวกับสาคูไส้ปลาก็ชอบ ป้ายังเล่าต่ออีกว่า คุณหญิงศรีคำเชี่ยวชาญการทำกระท้อนลอยแก้ว ป้ายังได้วิชาการทำกระท้อนลอยแก้วมาจากคุณหญิงเลย อีกอย่างคือ กะหรี่พัฟ คุณหญิงไปเรียนมาจากที่ไหนไม่รู้ เสียค่าเรียนไป ๕๐๐ บาท เรียนเสร็จแล้วก็มาสอนป้าต่อ ช่วงนี้เป็นหน้ากระท้อน แพงทำกระท้อนลอยแก้วสิ เดี๋ยวป้าบอกวิธีทำให้
            กระท้อนลอยแก้ว
เครื่องปรุง
          กระท้อน                        ผล
          น้ำตาลทราย            ๕๐๐   กรัม
          เกลือป่น                         ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
          เชื่อมน้ำตาลให้ข้นเตรียมไว้ ละลายเกลือด้วยน้ำ ๓ ถ้วย ปอกกระท้อน ฝานเป็นชิ้นๆ นำไปแช่น้ำเกลือประมาณ ๑ ชั่วโมง แล้วบีบน้ำเกลือออก ใส่ลงในน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้ แช่ทิ้งไว้ประมาณ ๒ ชั่วโมง ทุบน้ำแข็งใส่รับประทานได้

กระท้อน

ปอกกระท้อน ฝานเป็นชิ้นๆ แช่ในน้ำเกลือ

กระท้อนแช่ในน้ำเชื่อม

กระท้อนลอยแก้ว

งานเขียนชิ้นแรก ๑๑

ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

 
คุณหญิง รามบัณฑิตสิทธิเศรณี กับน้องสาว


          ความเปลี่ยนแปลงมีอยู่ตลอดเวลา หม่อมเจ้าสุธารส สิงหรา พระบิดา ม.ร.ว. วงศ์สินธุ์ สิงหรา สิ้นพระชนม์ชีพ หม่อมเล็กมารดาได้มาทูลขอลาเอาคุณวงศ์สินธุ์ออกไปอยู่ด้วย แต่นั้นมาเรือนท่านย่าเคยมีวัว ๓ ตัว ด้วยปีฉลูเหมือนกันหมด ก็จะเหลือแต่วัว ๒ ตัว ดูจะเงียบเหงาไปมาก เรื่องซุกซนหัวไม้ค่อยคลายลงบ้าง
          การสอบไล่ชั้นมัธยมปีที่ ๖ ก็ผ่านไปแล้ว โดยไปสมัครสอบข้อสอบกระทรวงกับโรงเรียนสายปัญญา ผลการสอบไล่ หม่อมเจ้าหญิงคันธรสรังษี ม.ร.ว. ฟูผล กับ ม.ร.ว. วัฒนพันธ์ สอบได้คะแนนเยี่ยม ม.ร.ว. อาไทย กับข้าพเจ้า และคุณๆ อื่นอีกหลายคนได้รองๆ ลงมา ที่สอบตกหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น ซึ่งจำชื่อไม่ได้ การเรียนในวังก็ยุติลงแค่นี้ ไม่ต้องไปเรียนหนังสืออีกแล้วเรียกว่าเป็นสาวแล้ว ต้องผลัดเครื่องแต่งกายประจำวันจากนุ่งผ้าซิ่นไหม มาเป็นนุ่งผ้าโจงกระเบนทุกคนแบบผู้ใหญ่ แต่ไม่ต้องกินหมาก ตอนนี้ก็ขาดเพื่อนไปอีกหนึ่งคน แม่ฉวีใหญ่ได้ทูลลาไปอยู่บ้านกับบิดา มารดา เพื่อเตรียมตัวสมรสกับร้อยตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์  คุณหญิงศรีคำโตขึ้นเป็นสาวสวยคมคายน่ารัก ก็มีท่านป้า คือหม่อมเจ้าหญิงเครือมาสวิมล มาทูลลารับไปเที่ยวเตร่ดูหนังโรงพัฒนากร (เป็นโรงหนังที่หรูหราในยุคนั้น) กลับเข้าวังมาก็มาคุยฟุ้งเรื่องหนัง ข้าพเจ้ามีความดิ้นรนที่อยากจะได้เห็นโรงหนังพัฒนากรมั่ง ด้วยความสงสาร คุณหญิงเยี่ยมรามบัณฑิตสิทธิเศรณี จึงทูลขออนุญาตจากท่านย่ามารับข้าพเจ้าไปค้างบ้านแล้วพาไปดูหนังโรงพัฒนากร ข้าพเจ้าเรียกว่า พี่เยี่ยม ด้วยเป็นข้าหลวงรุ่นใหญ่และอยู่ในความปกครองของท่านย่า หม่อมเจ้าหญิงเครือมาสวิมล มารับคุณหญิงศรีคำไปค้างยังวังของท่านแทบทุกอาทิตย์ และต่อมาก็ได้ขอประทานตัวไปทำการสมรส ที่เป็นพิธีถูกต้องอย่างสมเกียรติ
          คุณหญิงศรีคำกับข้าพเจ้ารักเห็นอกเห็นใจกันมาตั้งแต่เล็กจนโตเป็นสาว มิใช่รักกันเพราะเราเป็นญาติกัน เรามีความผูกพันกันทางใจมาเป็นเวลาอันนานแสนนาน บัดนี้เราจะต้องมาจากกันอีกแล้ว เรือนท่านย่าจะเหลือแต่วัวตัวเดียว ท่านย่าทรงกรรแสงทุกคืนตอนข้าพเจ้าเหยียบถวาย มีพี่บรรจงกับพี่สอนเห็นอกเห็นใจท่าน มักจะมาคุยและปลอบใจท่านอยู่บ่อยๆ พิธีสมรสคุณหญิงเจ้านายทรงเห็นดีเห็นงามได้ประทานเครื่องเพชรในวันทำพิธีสมรส ทุกชิ้นเป็นพลอยสีม่วงแก่ล้อมเพชรรอบ เช่น จี้ห้อยคอ ต่างหู กำไล แหวน ครบชุดให้เป็นของรับไหว้เลย ส่วนท่านย่ารับไหว้เป็นแหวนทับทิมพม่าหลังเบี้ยเม็ดโต มีเพชรลูกเม็ดเขื่องฝังข้างละ ๑ เม็ด ข้าพเจ้าไม่มีอะไรจะให้นอกจากน้ำตา
          เปลี่ยนการปกครอง บ้านเหลืองเมืองแตก ตอนนี้พระวิมาดา สิ้นพระชนม์แล้ว เหลือแต่สมเด็จหญิงพระองค์น้อยก็จะเสด็จหนีการเมืองไปประทับประเทศชวา ต้องมีการคัดตัวข้าหลวง ใครเป็นคนโปรดก็ได้ติดตามเสด็จไป นอกนั้นโปรดให้กลับคืนออกไปอยู่กับพ่อ-แม่ ซึ่งบางคนก็ดีใจมากเหมือนนกได้ถูกปล่อยออกจากกรง แต่บางคนติดใจกรงนกไม่อยากไปก็ร้องไห้ปรับทุกข์กัน คุณป้าเฉลยมารดาพี่บรรจงได้นำข้าพเจ้าไปฝากเป็นครูสอนหนังสืออยู่โรงเรียนเทเวศน์ศึกษา ได้รับเงินเดือนๆ ละ ๑๒ บาท เป็นที่ตกใจมาก เมื่อฟังเงินเดือนตั้ง ๑๒ บาท ไม่รู้จะใช้ยังไงไหว เคยใช้เดือนละหนึ่งบาทจากท่านย่าแล้วข้าพเจ้าก็ถูกส่งตัวมาอยู่กับพ่อ-แม่ คนที่เหลือนอกนั้นทั้งหมดไม่ว่าพระองค์เจ้าหรือหม่อมเจ้า คนธรรมดา ก็ต้องย้ายออกจากวังสุนันทาไปปลูกเรือนให้อยู่ใหม่ในที่ดินซึ่งเรียกว่า โรงเลี้ยงเด็ก เป็นที่เก่าแก่ของพระวิมาดาเธอ โดยทิ้งวังสุนันทากันเลย บัดนี้ วังสุนันทา ก็ได้กลายเป็นสถานศึกษาใหญ่โต คือ วิทยาลัยครูสวนสุนันทา
          ข้าพเจ้าออกมาอยู่นอกวังแล้ว ก็ได้ไปมาหาสู่คุณหญิงศรีคำเรื่อยมาตลอด วันหนึ่งคุณหญิงซื้อของกินจากบางลำภู มาทานรวมกับข้าพเจ้าที่โรงเรียน ข้าพเจ้าบอกกับคุณหญิงว่า ข้าพเจ้าจะแต่งงานเร็วๆ นี้นะ คุณหญิงถามว่า พระเอกหล่อไหม ข้าพเจ้าว่า เป็นชายนิสสัยดี มีปริญญาตรี ขณะนี้รับราชการเป็นหลักฐาน คุณหญิงว่า ดีซี ข้าพเจ้านึกสนุกคิดว่า ครั้งนี้ต้องมีการโกหกกันให้สนุกซักทีเหอะ เลยตอบไปว่า ก็ไม่ดีนัก ยังมีข้อเสียที่ต้องกลุ้มใจ คุณหญิงว่า เสียอะไรล่ะ ข้าพเจ้าว่า เขาหัวโกร๋น หัวโกร๋นก็ใส่วิกได้นี่ คุณหญิงว่า ข้าพเจ้าเลยบอก ไม่เท่านั้นนะซี ยังแถมตาถั่วไป ๑ ข้าง คุณหญิงชักหน้าเสีย มองข้าพเจ้าแล้วว่า ตาถั่วก็ใส่แว่น ไม่มีเงินซื้อ จะซื้อให้ ข้าพเจ้าหัวเราะ "ยังมีอีก อันนี้ขายหน้ามากแล้วแก้ยากด้วย คือเขาเดินขาเป๋ เวลาเดินน่าเกลียดมาก ขณะนั้นเราพึ่งทานอาหารคาวเสร็จ ยังไม่ได้ทานของหวานและผลไม้ที่คุณหญิงซื้อมา คุณหญิงรีบเก็บขนมและผลไม้กลับคืนใส่ถุงไม่เหลือไว้ให้ข้าพเจ้าเลย ลุกขึ้นสวมรองเท้า หิ้วกระเป๋ากลับไป แล้วยังหันหน้ามาว่าข้าพเจ้าอีกว่า จะมีผัวซักที หาดีไม่ได้ก็อย่าไปมีมันเสียเลยดีกว่า ว่าแล้วรีบเดินหนีไปโดยเร็ว ข้าพเจ้าลุกวิ่งตามไปตะโกนให้กลับมาก่อน โกหกให้น่ะ เขาเดินอ้าวไปเลยไม่ทราบว่าในใจเขาคิดยังไง

Saturday, June 25, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๑๐

ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

น.ส. พูล อมาตยกุล


          คืนวันหนึ่ง คุณหญิงศรีคำกลับลงมาจากบนตำหนัก มาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า "มีทางจะแก้แค้นหม่อมเขียนแล้ว ต้นหว้าลูกใหญ่ที่ปลูกอยู่มุมสนามใบพัดกำลังมีลูกดกแต่ยังไม่แก่จัด ท่านทรงเรียกหม่อมเขียนมามอบให้ดูแลรักษา พอลูกแก่จะเก็บไปทูลเกล้าถวาย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗" ข้าพเจ้ารีบถามว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ ไปขโมยอีกเรอะ คุณหญิงว่า เราอย่าเก็บหมดซี ของจะเอาไปทูลเกล้าถวาย เราเก็บกิ่งไหนก็เอาแต่กิ่งเดียว คราวนี้อยากกินจริงๆ ลูกโตดำมืดเท่าหัวแม่มือแน่ะ ท่านเสด็จลงทอดพระเนตรทุกวัน ถ้าหายบางตาไป หม่อมเขียนโดนกริ้วแย่เลย คุณวงศ์สินธุ์อาสาจะเป็นคนปีนขึ้นต้น แล้วโยนลงมาให้เราสองคนคอยเก็บ ตกลงกันเรียบร้อยว่าพรุ่งนี้จะลงมือทำตอนกลางวันที่หม่อมเขียนนอน  แล้วต้องทำตอนบ่ายที่นักเรียนเข้าห้องเรียนหมดแล้ว ผู้คนจะได้ไม่พลุกพล่าน เรา ๓ คน ยอมขาดเรียนลาป่วยภาคบ่าย ได้เวลาเงียบดี คุณวงศ์  สินธุ์ก็ขึ้นปีนต้น ข้าพเจ้ากับคุณหญิงถือถุงยืนรอโคนต้น หม่อมเขียนเดินออกมาจากเรือนทำท่าจะเดินมาที่ต้นหว้า เรา ๓ คน ตกใจที่สุด ข้าพเจ้าร้องเบาๆ ว่า ตัวใครตัวมัน แล้วดึงข้อมือคุณหญิงวิ่งอย่างเร็วขึ้นไปบนเขาดิน เลยแอบดูเห็นหม่อมเขียนเดินเลี้ยวไปทางบนตำหนัก ที่แท้แกไม่ได้เห็นเราสักหน่อย ค่อยหายตกใจ นึกถึงคุณวงศ์สินธุ์ขึ้นมาได้ รีบวิ่งมาดู ที่ไหนได้ตกลงมาจากต้นหว้านอนจุกลุกไม่ขึ้น ข้าพเจ้ากับคุณหญิง ช่วยกันหิ้วปีกมาคนละข้าง ลากมาจนถึงเรือน น.ส. พูล อมาตยกุล ที่แท้เป็นเรือน น.ส. ขนมต้ม อมาตยกุล ผู้เป็นอาของ น.ส. พูล แม่พูลนี้ชอบกับพวกเราทุกคน เราเคยไปกินข้าวที่เขาเสมอ เขาช่างทำของอร่อยๆ ไว้เลี้ยงพวกเรา แต่แม่ขนมต้มอาของเขาแก่แล้วและไม่ถูกชะตากับพวกเรา เราช่วยกันครึ่งลากครึ่งจูงคุณวงศ์สินธุ์มาให้แม่พูลรักษาให้ เขาเอาหม่องทาที่หน้าอก หน้าท้อง แล้วให้กินยาหอม เดี๋ยวก็ค่อยยังชั่ว พอแข็งแรงดีด่าคลุ้งเลยหาว่าทิ้งไว้คนเดียว เอาตัวรอดกันหมด แม่พูลว่า เอาน่าอย่าเถียงกันเลย ทำผิดแล้วยังไม่รู้อีก นั่นแหละผีมันผลักลงมาละไม่รู้จักที่ตาย ของท่านจะเก็บไว้ทูลเกล้าถวาย อย่าไปขโมยอีกนะผีวังดุ ผู้ใหญ่เขาเล่าให้ฟังมาหลายเรื่องแล้ว ซุกซนหนีออกไปเที่ยวนอกตำหนักก็เหมือนกันอย่าไปบ่อยนัก โขลนจับได้สักวันนึงแน่ ถ้าไม่ทรงเลี้ยงโทษถึงคืนกลับไปบ้าน คุณพ่อคุณแม่พวกเธอจะเสียใจแค่ไหน ส่งให้มาอยู่ในวังหวังหัดงานแม่บ้านฝึกกิริยามารยาท กลับไปทำอ้ายสิ่งที่ไม่ควรทำ เอางี้ดีกว่า ฉันได้บทละครเรื่องสาวเครือฟ้ามา ๑ เล่ม อ่านแล้วสนุกดี พวกเธอเอาไปอ่านแล้วเรามาหัดเล่นละครกัน ซนอยู่บนเรือนใครเขาก็ไม่ว่าดีไหม พวกเราเห็นดีเห็นงามด้วยเลยหัดละครกันแต่นั้นมา ตัวละครมีคุณวงศ์สินธุ์ เป็นพระยาณรงค์สงคราม ข้าพเจ้าเป็นคุณหญิงจำปา ม.ร.ว. ฟูผล ชมพูนุช เป็นคนสวยจัดให้เป็นตัว สาวเครือฟ้า น.ส. ฉวี (เล็ก) ทองเอกราช เป็นคนสวยให้เป็น เครือณรงค์ (พระเอก) คุณหญิงศรีคำให้เป็น นางคำเจิด พี่เลี้ยงสาวเครือฟ้า น.ส. ฉวี (ใหญ่) มิลินทะจินดา เป็นคนบอกบท น.ส. เพิ่ม เดชะคุป มีหน้าที่แต่งตัวละครช่วยกันกับ น.ส. สอน สุขกิจ น.ส. พูล ทำอาหารเลี้ยงและอำนวยการทั่วไป น.ส. สุดา บูรณศิริ ให้ขนโต๊ะ เก้าอี้ ขึงม่าน จัดฉากและเป็นภารโรงไปในตัวด้วย จัดเล่นตอนกลางวันของวันที่เจ้านายเสด็จบางคอแหลมเพื่อเยี่ยมประชวร สมเด็จชายเจ้าฟ้ายุคลฑิคัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศ โอกาสต้องเป็นของเราด้วยกว่าจะเสด็จกลับก็ค่ำ เราเริ่มจัดฉากตกแต่งห้อง ขนโต๊ะเก้าอี้ตามแต่จะมีอยู่มาตั้ง ถึงเวลาทานข้าวเที่ยงแล้วก็ลงมือเล่นกัน สนุกที่สุด บ้าๆ บอๆ หัวร่อกันคับห้อง คนมาชมละครโดยมากเป็นพวกเราที่ไม่ได้เล่นแล้วมีข้าหลวงรุ่นเล็ก คุณหญิงศรีคำ เวลาซ้อมไม่ยอมร้องเพลง จะขอพูดเอาแทนร้อง เราก็ตกลงตามใจ ครั้นถึงบทก็ปล่อยตัวออกมา พูดก็ไม่ยอมพูด ออกมานั่งเฉยๆ ว่าเข้าหัวเราะคิกคักอายเล่นไม่ได้เลยต้องให้นั่งไว้เฉยๆ และประกาศว่า ตอนนี้คำเจิดเป็นใบ้ เล่นกันจนจบตอนสุดท้ายให้ฉวีเล็กซึ่งเป็นพระเอกจูบสาวเครือฟ้า ไม่ยอมจูบอีกหาว่าจูบยังไง จูบไม่เป็นเลยต้องให้จับมือแบบฝรั่งแทนจูบ เลยได้ฮากันครืนใหญ่ ไม่ทราบใครที่หนวกหูพวกเรา แอบไปบอกแม่ขนมต้มบนตำหนักให้ย่องมาดู มาถึงโมโหหุนหันฉะแม่พูลผู้เป็นหลานสาวก่อนใครหาว่าเอาห้องเขามาทำโรงยี่เกทำไม แล้วรีบกลับไปรายงานให้คุณพระเลื่อนทราบทันที คุณพระเลื่อนมาพวกเรากำลังผลัดชุดละครออก คุณพระเลื่อนชี้หน้าว่าอะไรเยอะแยะจำไม่ได้ แล้วว่าเสด็จกลับจะกราบทูล รุ่งขึ้นจำได้ว่า คุณพระเลื่อนกราบทูลแล้ว ทรงทราบว่า ม.ร.ว. ฟูผล เล่นด้วย (คุณฟูผลนี้เป็นคนที่ทรงโปรดปรานมาก) ทุกคนเลยพ้นผิดรอดตัวไป โดยรับสั่งว่า มันเล่นกันตามประสาเด็กๆ ไม่เสียหายอะไรก็ช่างเถอะ แต่บอกให้รู้ทั่วกัน ต่อไปขืนทำยังงี้อีกจะเฆี่ยน ไม่ได้เอามาเลี้ยงให้เต้นกินรำกิน

Friday, June 24, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๙

 ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

น.ส. ฉวี มิลินทะจินดา และ น.ส. พูล อมาตยกุล

          ที่คุณหญิงศรีคำว่าคุณสรัทกลัวข้าพเจ้านั้น มันมีเรื่องนิดเดียวที่ข้าพเจ้าบังเอิญไปรู้เข้า คือคุณสรัทแอบแนะนำพี่ชายของตนซึ่งอยู่บ้านนอกวังให้รู้จักกับข้าหลวงสวยคนหนึ่ง และได้มีจดหมายติดต่อถึงกัน ก็เท่านั้นเอง เขาไม่เคยได้ออกไปพบกันเลย ถึงกระนั้นก็เถอะ ถ้ารู้ถึงหูผู้ใหญ่ว่าเขียนจดหมายคุยกับผู้ชาย ถือว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์ โทษถึงเลี้ยงไม่ได้ต้องคืนตัวไปให้พ่อแม่เชียว ทำไมข้าพเจ้าจึงรู้เรื่องเขา วันนั้นท่านย่าใช้ข้าพเจ้าให้เอาน้ำอบไทยไปให้นายป๋อ นายป๋อนี้เป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย แต่เพราะเป็นนายใหญ่ควบคุมประตูวัง คอยจับข้าหลวงไม่ให้ออกไปนอกประตูวัง ชายคนนี้ยืนลับล่ออยู่นอกประตูวัง เห็นข้าพเจ้าเข้ารู้จักกัน เพราะตอนเป็นเด็กเขาเคยอยู่ในวังกับแม่เขามาก่อน แล้วออกไปอยู่นอกวังเมื่ออายุ ๑๐ ขวบ เขากวักมือเรียกข้าพเจ้าและกระซิบฝากจดหมายมา ข้าพเจ้าก็เอามาเปิดอ่านกับคุณหญิงศรีคำ เราจึงรู้เรื่องของเขา แล้วข้าพเจ้าก็เอาจดหมายให้คุณสรัทแล้วว่า เธอเป็นสื่อให้กับใครก็เอาไปให้เขาเสีย คุณสรัทขอร้องไม่ให้ข้าพเจ้าเอาไปพูดกับใคร ข้าพเจ้าจึงเอาเรื่องนี้มาขู่เขาให้ไปเอากุญแจเรือมา เขาจำต้องยอม โชคยังเป็นของเราที่หม่อมเขียนหลับ เลยได้กุญแจมาอย่างง่ายดาย เราไขเอาเรือออก ๒ ลำ ลงไปนั่งพายกันลำละ ๓ คน มีคุญหญิงศรีคำ คุณสรัทและข้าพเจ้า อีกลำมี ม.ร.ว. วัฒนพันธ์ น.ส. สุดา และ น.ส. ฉวี มิลินทะจินดา เราเรียกกันว่าฉวีใหญ่ ต่อมาได้สมรสกับ ร้อยตรี สฤษดิ์ ธนะรัช (จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัช) ที่จริงแล้วคำว่า นางสาว ที่เรียกกันมาทุกคน อยากจะเรียกว่า คุณโน่น คุณนี่ จะแย่เสียแล้ว แต่เรียกไม่ได้ ในวังถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จะเรียกใครว่าคุณ ผู้นั้นต้องเป็น คุณจอม เช่น คุณจอม หม่อมราชวงศ์สดับ ลดาวัลย์ หรือผู้เป็น หม่อมราชวงศ์ จึงเรียกคุณได้ ถ้าเป็นหม่อมหลวง เรียกคุณไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น หม่อมหลวงดังชื่อต่อไปนี้ ต้องเรียกแม่ เช่น แม่เนื่อง แม่เฉลียว แม่สละ แม่สมนึก แม่สมาส แม่มานิต ผู้เป็นนางสาว ถึงจะเป็นลูกพระยาเจ้าเมือง เช่น นางสาวเพิ่ม เดชะคุป ธิดาพระยาโบราณราชธานินก็เรียก แม่เพิ่ม นางสาวสุดา บูรณศิริ ธิดาพระยาอรรคราชโยธิน ก็เรียก แม่สุดา พอออกมาอยู่นอกวัง ทุกคนที่เคยเป็นแม่กลับกลายเป็นคุณหมด อย่างข้าพเจ้า ใครก็เรียกคุณเนื่องแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอเกิดชาติใหม่
          แล้วเราก็หัดพายเรือเก้ๆ กังๆ หมุนไปหมุนมาอยู่ในโรงเรือนั่นแหละ ไม่กล้าพายออกมานอกหลังคาคลุม ด้วยกลัวจ้าวนายทอดพระเนตรเห็นเข้า คุณหญิงศรีคำเป็นผู้ถามคุณสรัทขึ้นมา เธอไปเอากุญแจมาได้ยังไง หม่อมแม่ไม่เห็นรึ คุณสรัท ตอบว่า แม่หลับ ข้าพเจ้าก็เลยว่าต่อไปให้เลยว่า คนแก่จะไปรู้อะไร หลับแล้วเหมือนตายเลย งกพิลึก เข้าของก็ไม่ใช่ของตัวทำงกไปได้ ตายเมื่อไหร่จะเอาเรือทำฟืนเผาไปให้ ว่าแล้วก็วาดเรือเทียบตลิ่งก้าวขึ้นบก เงยหน้าเจอหม่อมเขียนยืนท้าวเอว หน้าตาถมึงทึงตาเขียวเชียว ตกใจแทบช๊อคตาย เสียงหม่อมเขียนตวาดว่า ไปขโมยกุญแจมาไขเอาเรือเล่นแล้วยังมาด่าให้อีกแน่ะ คนอะไรเก่งไม่เคยพบเคยเห็น แล้วกระชากข้อมือคุณสรัทไปชำระความกันแม่ๆ ลูกๆ พวกเราไม่รอช้าวิ่งหนีหายวับเข้าห้องเรียนไปเลย เพราะได้เวลากระดิ่งเข้าเรียนพอดี สักครู่ คุณสรัทก็เข้ามานั่งที่โต๊ะเรียน ตาแดงช้ำแสดงว่าร้องไห้มา แต่เขาไม่พูดกับพวกเราเลย ข้าพเจ้าอดไม่ได้ถามเขาว่า หม่อมแม่ว่าไง กะอีเรื่องลงไปนั่งเรือเล่นเฉยๆ ไม่ได้ไปฆ่าใครตายซักหน่อย ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้คุณสรัทจึงว่า แม่บอกว่าจะขึ้นไปกราบทูลให้ทรงทราบ ถ้าเรือเกิดชำรุดเสียหายไป แม่จะได้ไม่มีความผิด คุณหญิงศรีคำโทษะเต็มประดาปล่อยทีเด็ดออกมาว่า เชิญเลย เชิญขี่ม้า ๓ ศอกไปทูลเลย ถ้ามีการซักฟอกถูกเรียกตัวไปกริ้ว ฉันจะให้การว่า เธอกับแม่ขโมยดอกไม้ที่ทรงหวงห้ามไปมัดพวงหรีดให้ลูกชายเอาไปวางศพใครไม่รู้ ๓-๔ ครั้งแล้วด้วย เธอเอาไปเล่าให้แม่เธอฟังได้เลย จากวันนั้นมาเรื่องก็เงียบไป ไม่มีการเพ็ดทูลใดๆ แต่คุณสรัท หม่อมแม่คงห้ามไม่ให้พูดกับพวกเราไปตั้งหลายวัน ต่อมาหม่อมเขียนย่องมาฟ้องคุณครูจันทร์ (อาจารย์ใหญ่) ว่านักเรียนห้องมัธยมปีที่ ๖ ชอบไปส่งเสียงอึกกะทึกข้างเรือน จะหลับนอนพักผ่อนไม่ได้เลยหนวกหูที่สุด ขอให้กักบริเวณอยู่เฉพาะหน้าอาคารโรงเรียน ไม่ให้ไปเล่นที่เรือนข้าหลวงสมเด็จหญิงพระองค์กลาง (สมเด็จเจ้าฟ้า มาลินีนพดารา กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา) จากนั้นมาพวกเราก็ถูกห้ามไปเล่นในเขตนั้น

Sunday, June 12, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๘

ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์

ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์ และเพื่อน

          วันเวลาผ่านไปต่างก็โตเป็นสาวขึ้นตามลำดับ ชักจะเห็นว่าการซุกซนภายในเขตรั้วตำหนักพระวิมาดาไม่สนุกเสียแล้ว จืดชืดซ้ำซากเลยชวนกันหนีเที่ยวไปหาเพื่อนฝูงต่างตำหนัก เช่น ตำหนักเสด็จพระองค์เหมวดี ตำหนักเสด็จพระองค์อาทรทิพยอาภา ตำหนักเสด็จพระองค์อภันตรีประชา เสด็จพระองค์ทิพยาลังการและไปสวนหงส์ ตำหนักทูลกระหม่อมหญิงวลัยอลงกรณ์ เสด็จพระองค์เยาวภาพงศ์สนิท พวกเราจำเป็นต้องหนีออกไปตอน ๕ ทุ่มไปแล้ว พวกข้าหลวงคอยเสวยเสร็จลงจากบนตำหนัก แล้วต้องมาคอยเอาตัวข้าพเจ้า ซึ่งต้องเหยียบท่านย่าทุกคืนประจำ กว่าจะเลิกเหยียบก็ ๔ ทุ่มกว่า พอท่านย่าหลับก็แอบไปรวมกับเพื่อนๆ ที่มาคอย มี ๖ คนด้วยกัน มี ม.ร.ว. อาไทย ลดาวัลย์ ม.ร.ว. วัฒนพันธ์ ชมพูนุช ม.ร.ว. วงศ์สินธุ์ สิงหรา ม.ร.ว. ศรีคำ ทองแถม น.ส. สุดา บูรณศิริ และข้าพเจ้า ย่องปีนรั้วออกไปทางหลังเขาดิน เป็นรั้วไม้ตีโปร่ง ทาสีฟ้าปีนง่ายมาก คืนหนึ่งก็ไปตำหนักเดียวแล้วหมุนเวียนกับไปจนทั่วทุกตำหนักที่รู้จักกัน พวกเขารู้ว่าพวกเราไป เขาก็จะออกมากันหลายๆ คน มานั่งรวมกลุ่มคุยกันที่ท่าน้ำหน้าตำหนัก พอเห็นพวกโขลนออกเดินตรวจ (โขลน คือผู้หญิงนุ่งน้ำเงินใส่เสื้อขาว ออกเดินตรวจตามถนนในวังตลอดทุกยามจนเช้า) มาแต่ไกล ๒ คน พวกเราต่างลุกหนีกันจ้าละหวั่น พวกข้าหลวงเสด็จเขาก็วิ่งเข้าตำหนักไป พวกเราอยู่ไกลวิ่งหนีกันสุดฝีเท้า ม.ร.ว. วัฒนพันธ์ ขาสั้นตัวเตี้ย วิ่งช้าไม่ทันพวก ความที่กลัวพวกโขลนจะจำได้ ถลกผ้าถุงที่นุ่งขึ้นมาม้วนพันไว้รอบเอว เหลือแต่กางเกงในวิ่งแจ้น โขลนวิ่งไล่มาไม่ทัน พวกเรา ๖ คน ปีนรั้วไม้โปร่งหายเข้ามาภายในหมด นึกว่าเรื่องจะจบแค่นั้น ที่ไหนได้ตอนสายวันรุ่งขึ้น โขลนเข้าเฝ้าทูลฟ้องว่าข้าหลวงที่ตำหนักนี้หนีเที่ยวเมื่อคืนไล่จับไม่ทัน เห็นชัดคนเดียวนุ่งกางเกงขาสั้นสีขาว เมื่อทรงสอบสวนดูทุกคนแล้ว ข้าหลวงไม่มีใครนุ่งกางเกง เรื่องก็เลยเงียบไปโดยหาตัวลงโทษไม่ได้ แต่พวกเราก็ไม่เข็ด คราวต่อไปเรารีบกลับก่อนโขลนออกตรวจตอน ๒ ยาม
          น่าเห็นใจชีวิตที่ถูกขังอยู่ในวัง ไกลพ่อไกลแม่ ไปไหนก็ไม่ได้ไป เล่นอะไรก็ไม่ได้ถูกห้ามไปทุกอย่าง สมัยนั้นวิทยุก็ยังไม่มีฟัง โทรทัศน์ก็ยังไม่มีดู ออกจากประตูวังไปไหนก็ไม่ได้ เหมือนนกติดกรงขัง ร้องเพลงเล่นกันดังก็ไม่ได้ต้องกระซิบร้องกันเบาๆ เด็กมันไม่มีทางออกหาความเพลิดเพลิน ก็เลยซุกซนขโมยโน่นนี่ไปตามเรื่อง
          ครั้งหนึ่งในเดือน ๑๒ น้ำเต็มฝั่ง ที่ข้าง ร.ร. นิภาคาร ซึ่งพวกเรากำลังเรียนอยู่ มีโรงเก็บเรืออยู่ใกล้ๆ มีเรือเล็กๆ กำลังน่าเล่นลอยอยู่ ๓-๔ ลำ หยุดพักเที่ยงทานอาหารแล้วก็พากันมานั่งเล่นในโรงเรือ เห็นเรือถูกล่ามโซ่ใส่กุญแจไว้ทุกลำ แรกก็ลงไปนั่งในเรือโยกโคลงเล่นเฉยๆ ต่อมาความสนุกแค่นั้นไม่พอ จึงถาม ม.ร.ว. สรัท สุประดิษฐ์ ว่า "รู้ไหมใครเก็บกุญแจเรือ" คุณสรัทไม่พูด คุณหญิงศรีคำตอบแทนว่า หม่อมเขียน แม่เขานั่นแหละเป็นคนเก็บ พี่เนื่องบังคับให้เขาไปหยิบมาซี เธอกำความลับคุณสรัทเขาไว้ไม่ใช่รึ เขากลัวเธอเขาต้องไปเอามา

Saturday, June 11, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๗

ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์

ม.ร.ว. วงศ์สินธุ์ สิงหรา

ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์ และเพื่อนๆ


          วันหนึ่งท่านย่าให้แม่เอมทำข้าวตังนังเล็ด คือข้าวตังทอดโรยน้ำตาล เคี่ยวเหนียวๆ ใส่มาประมาณ ๑ จานกินข้าว เอามาวางไว้ที่โต๊ะริมระเบียงเรือน คุณหญิงศรีคำตื่นนอนเข้ามาก่อนข้าพเจ้า โผล่จากมุ้งมาเจอจานข้าวตังพอดี ไม่ต้องล้างหน้าแปรงฟัน ตรงเข้าโจ้เลย ท่านย่าโผล่มาเห็นพอดี ถูกกริ้วหาว่าตะกระตะกราม ของก็จะทำมาให้กินอยู่ รีบร้อนทำไม ควรไปอาบน้ำแปรงฟันก่อน แต่งตัวเรียบร้อยจึงมานั่งโต๊ะอาหาร ไม่ได้เลี้ยงให้อดอยากซักหน่อย ท่านย่าสั่งแม่เอมให้ทำข้าวตังยังงี้มาอีก ๑ กระด้ง จะให้กินให้หมด ถ้ากินไม่หมดจะเอายีหัว ๑ ช.ม. ผ่านไปข้าวตังมาวาง ๑ กระด้ง ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ร้อนแทนคุณหญิงจริงๆ ถึงจะเข้าไปช่วยเขากินก็กินไม่ไหวมันมากจริงๆ คุณหญิงก็ไม่กินนั่งร้องไห้ตลอดเวลา ถึงเวลาแล้วที่ข้าพเจ้าจะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง รีบวิ่งไปห้องเครื่องที่ท่านย่านั่งทำงานอยู่บนแคร่ใหญ่ ทูลท่านทำหน้าตาตื่นว่า คุณศรีคำเขาแน่นกำลังจะจุกเพราะเขากินเข้าไปเยอะแล้ว ว่าแล้วกราบลงขอประทานโทษแทน ให้เขาเลิกกินเถอะเขาสัญญาต่อไปจะไม่ตะกระอีกแล้วจะเข็ดจะจำ ท่านย่าจะยกโทษให้หรือไม่ข้าพเจ้าไม่รอฟังคำตอบ รีบวิ่งกลับมาเรือนยกกระด้งข้าวตังมาคืนแม่เอม แม่เอมว่า แหมคุณเนื่องทูลท่านเสียตกใจว่ากำลังจุกกำลังแน่น ข้าวตังไม่แหว่งซักหน่อย
          คุณหญิงศรีคำเป็นข้าหลวงที่เจ้านายทรงพระเมตตาอยู่มาก ตามเสด็จเฝ้าสนิทชิดเชื้อทุกวันประจำ กลับจากโรงเรียนแล้วต้องรีบทำการบ้านเสร็จ ทานของว่างเสร็จรีบไปอาบน้ำแต่งตัวขึ้นเฝ้า จนเสวยค่ำเสร็จ ๔ ทุ่ม (๒๒.๐๐ น.) จึงลงจากบนตำหนัก วันอาทิตย์ไม่ต้องไปเรียนหนังสือ ก็ต้องขึ้นไปหัดงานดอกไม้กับผู้ใหญ่บนตำหนัก ข้าพเจ้ามีครูสอนดอกไม้ที่ใจดีมาก คือ เจ้ามุกดา ณ เชียงใหม่ สอนมั่ง น.ส. ประทุม รัตนาคาร ข้าพเจ้าเรียก พี่ทุม ก็ช่วยจับมือหัดให้ ถ้างานปักพัด ปักสะดึง ก็มี คุณหญิงเกื้อกมล และพี่มอญฝึกหัดให้ เราก็เรียนฝึกหัดทำมาด้วยกันกับคุณหญิง ร้อยมาลัยสบายอย่างนึงคือไม่ต้องนั่งร้อยอุบะเอง มีแม่เพิ่มแก่ร้อยอุบะกับคุณวงศ์สินธุ์ แม่เพิ่มผอมแก่นี้มีหน้าที่ประจำ คือปรุงน้ำอบไทยที่เจ้านายทรงใช้ เป็นคนปรุงน้ำอบไทยหอมอย่างร้ายกาจ เมื่อแม่เพิ่มตายแล้ว จึงทรงใช้น้ำอบไทยที่เจ้าจอมมารดาเหม ส่งมาถวายประจำ กองอุบะของแม่เพิ่มได้คุณหญิงศรีคำ เพิ่มมาช่วยอีกคน เพราะไม่ชอบร้อยมาลัย เลยขอตัวไปอยู่ทำอุบะ ซึ่งก็เป็นการดีเพราะเมื่อข้าพเจ้าร้อยตัวมาลัยเสร็จไปขออุบะแม่เพิ่มแก่ไม่ให้ แกเกลียดปากข้าพเจ้าชอบไปค่อนว่าแก แกให้ร้อยเอาเอง ข้าพเจ้าเบาใจเมื่อคุณหญิงมาอยู่กองอุบะ เธอร้อยให้ข้าพเจ้าทุกครั้งไม่ต้องเดือดร้อน
          ถ้าคราวใดต้องร้อยตาข่าย ติดลวดลาย ต้องทำกันยันรุ่งติดต่อกันไม่ได้นอน ๓ วัน ๓ คืน นั่งโงกหงุบหงับ พี่มอญไล่ไปล้างหน้า ไปกินของว่างตอนดึก มันก็ไม่หายง่วงต้องออกอุบายว่าไปถ่ายหนัก คือไปกันได้หลายๆ คนเพราะกลัวผี ห้องถ่ายหนักปลูกอยู่ท้ายวัง ต้นไม้ใหญ่ขึ้นคลุมมืดทมึน ถึงจะมีแสงไฟฟ้าเปิดอยู่ก็ริบหรี่ไม่ทำให้หายกลัว ตามเรือนหม่อมเจ้าหรือเรือนข้าหลวงสมัยนั้นไม่นิยมทำห้องน้ำ-ห้องส้วมไว้ในตัวอาคาร คงจะหาว่าสกปรกไปหนักไปเบาก็ต้องไปถ่ายยังแถวห้องส้วมท้ายวัง ซึ่งรวมเป็นแถวอยู่ติดกำแพงด้านถนนใบพร การอาบน้ำของทุกคนก็เหมือนกัน ต้องไปอาบลานซีเมนต์กลางแจ้งมีก๊อกน้ำติดอยู่ มุมลานมีโอ่งวางให้ ๑ ใบ ยืนนุ่งผ้ากระโจมอกอาบกันโล่งๆ งั้นแหละ ใครอายก็เก็บเอาไว้อาบตอนมืดๆ คุณหญิงศรีคำ-คุณวงศ์สินธุ์ และข้าพเจ้านิยมไปอาบในคลองเพราะได้ดำผุดดำว่าย โดดน้ำจากบนสะพานข้ามคลอง บางทีปีนขึ้นไปบนกิ่งมะเดื่อป่าสูงๆ แล้วทิ้งตัวลงมา เราเล่นกัน ๓ คนทุกวัน ผู้ใหญ่ในวังทุกคนแม้แต่พวกครู ตั้งฉายาข้าพเจ้าว่า นำเบอร์หนึ่ง คุณวงศ์สินธุ์เป็นนำเบอร์สอง คุณหญิงศรีคำเรียบร้อยแอบซนเงียบๆ สุดแต่ข้าพเจ้าจะนำไปในเรื่องอะไรเอาด้วยทุกเรื่อง ผู้ใหญ่กลับเห็นว่าเป็นเพราะถูกชักนำ ว่าที่จริงๆ โตๆ กันแล้ว มาได้คิดภายหลังจะว่าผู้ใหญ่ร้ายก็ไม่ถูก เป็นเพราะเรามันเหลือขอจริงๆ ผู้ใหญ่ทุกคนอยากเห็นเราเป็นคนดี

Monday, June 6, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๖

ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์

ม.ร.ว. เกื้อกมล (นันทวัน) สวัสดิ์สรยุทธ

 ม.ล. เนื่อง นิลรัตน์ และเพื่อนๆ 

           ตั้งแต่วันนั้นมา มีงานพิเศษใดๆ บนตำหนัก ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปพร้อมๆ กับคุณหญิงศรีคำ ถ้าไม่มีงาน เราก็ไปเรียนหนังสือกันตามเคย บางวันเรียกชื่อแล้วกำลังจะเรียน ถ้ามองแต่ไกลเห็นเจ้ามุกดา ณ เชียงใหม่ หรือ น.ส. ประทุม รัตนาคาร เดินยิ้มมาหาคุณครูจันทร์ นักเรียนจะดีใจกันจริงๆ ด้วยนำคำสั่งปิดโรงเรียนมาให้นักเรียนขึ้นไปทำงานบนตำหนัก ครูๆ ก็เลยต้องขึ้นไปทำกับเขาด้วยไม่กล้ากลับไปบ้าน โรงเรียนในวังหยุดบ่อยที่สุด ต้องขยันหมั่นจดท่องเอาเองให้ทันกับหลักสูตรของครูโดยเรียนหลักสูตรของกระทรวง เวลาสอบไล่ไปสอบกับโรงเรียนสายปัญญา คุณหญิงศรีคำยิ่งโตยิ่งดื้อมาก การบ้านวันไหนเป็นวิชาที่ชอบทำ จึงจะทำ ถ้าวิชาไม่ชอบข้าพเจ้าต้องทำให้ด้วยกลัวเขาถูกครูตี ข้อที่ขี้เกียจที่สุด คือเวรทำความสะอาดห้องเรียน ผลัดกันทำเวรละคน พอถึงเวรคุณหญิง ข้าพเจ้าทำให้โดยมีข้อสัญญาว่า เย็นนี้จะต้องตัดผมให้ข้าพเจ้า พอถึงเวรของข้าพเจ้าจริงก็ไปเข็นให้ ม.ร.ว. อาไทย ลดาวัลย์ (พวกสกุลลดาวัลย์ เป็นหลานพระวิมาดาทั้งนั้น) หรือ ม.ร.ว. วัฒนพันธ์ ทำแทน โดยตกลงว่าจะเล่านิทานสนุกๆ ให้ฟัง ทั้งที่นิทานที่เล่าข้าพเจ้าก็กุขึ้นมาเอง เพราะไม่มีหนังสือที่ไหนจะมาอ่าน
          คุณหญิงศรีคำมีพรสวรรค์ที่พิเศษจริงๆ ในเรื่องตัดผม จะเป็นผมบ๊อบ ผมชิงเกิล ผมม้า ผมกระทุ่มคนแก่ ตัดได้หมด ตัดได้สวยด้วยแล้วตัดฟรีด้วย เด็กในวังมาขอให้ตัดกันแทบทุกคน ตอนนี้ชักจะโตรุ่นๆ กันขึ้นมาแล้ว คุณหญิงรุ่นสาว มีความเฉยขรึมพูดน้อยลง ความดื้อรั้นเมื่อสมัยเด็กกลายเป็นความเด็ดขาด เมื่อโตสิ่งใดพูดแล้วๆ กัน ไม่พูดพล่ามทำเพลงเหมือนข้าพเจ้า เวลาคุณหญิงตัดผมให้ข้าพเจ้า เธอจะต้องออกคำสั่งว่า นั่งนิ่งๆ อย่าพูดคุยดุกดิกนะ ไม่งั้นจะตัดไว้ครึ่งหัว อีกครึ่งมาตัดต่อพรุ่งนี้ เวลาตัดผมก็มีเพื่อนๆ มานั่งล้อมดูอยู่ ยากที่ข้าพเจ้าจะอดพูดอดคุยได้ แล้วก็จริงๆ เลย ตัดผมบ๊อบข้าพเจ้าไว้ครึ่งหัว อีกครึ่งให้มาต่อพรุ่งนี้ โทษที่ดุกดิกไม่เชื่อฟัง ข้าพเจ้าจนใจต้องจำยอม ท่านย่าเห็นผมเข้าแทนที่จะกริ้วคุณหญิง กลับกริ้วข้าพเจ้าว่าดีแล้วที่อยากไม่อยู่สุข
          กิจที่เราต้องยกทีมทำกันเป็นล่ำเป็นสัน คือการออกเก็บผลไม้-ดอกไม้ที่ทรงหวงห้าม เพราะพึ่งแรกมี ผลิดอกออกผลใหม่ๆ เช่น ดอกแคทลียาสวยๆ มีมาก หวายช่องาม ดอกไฮเดรนเยียร์สีฟ้าอ่อน กระปุกใหญ่ๆ ผลไม้ที่พวกเราชอบไปเก็บมี สะท้อน ทับทิม มังคุด มะม่วง มะปรางหวาน ฝรั่งขี้นกไส้แดงๆ ไปจนถึงมะดัน เชอรี่ ลูกเลี่ยมซุย มะไฟหวาน ทุกครั้งที่เราแอบชวนกันไปเก็บตอน ๕ ทุ่ม ๒ ยาม คุณวงศ์สินธุ สิงหรา (หลานหม่อมเจ้าหญิงแย้มเยื้อน สิงหรา) จะเป็นผู้ตำพริกกะเกลือห่อไป หม่อมเจ้าหญิงแย้มเยื้อนนี้ ข้าพเจ้าเรียกท่านอา ท่านช่วยกับท่านย่าเลี้ยงข้าพเจ้ามาตั้งแต่ ๑ ขวบ ท่านรักข้าพเจ้ามากกว่าคุณวงศ์สินธุหลานแท้ๆ ของท่าน คุณวงศ์สินธุเป็นคนด่าเก่งปากจัด เป็นหัวโจกแทบทุกกรณี ที่ออกไปล่าดึกๆ และก็ปลอดภัยจากการรู้เห็นของผู้ใหญ่เสียด้วย นับว่าเป็นผู้นำขโมยที่ดีทีเดียว ครั้งหนึ่งตอนบ่ายๆ คุณหญิงศรีคำมาบอกข้าพเจ้าว่า ต้นสะท้อนที่ท่าน้ำข้าหลวงลูกเหลืองเต็มต้น เราไปแอบเก็บกันเถอะ ฉันชวนสุดามาด้วยแล้ว เขาขึ้นต้นไม้เก่ง นางสาวสุดา บูรณศิริ (ธิดาพระยาอรรคราชโยธิน คุณหญิงชมเป็นมารดา) เท่านั้นเราก็เปิดฉากเก็บกันเลย ด้วยตอนบ่ายโมงสองโมงแดดร้อนจัด ผู้ใหญ่ไม่ใคร่มาเดินกัน สุดาขึ้นไปบนต้น ข้าพเจ้ากับคุณหญิงคอยเก็บใส่ถุง ตะโกนคุยกันจากบนต้น คงดังมากแต่เราไม่รู้สึกด้วยกำลังสนุก คุณพระเลื่อนเดินมาข้างหลัง จับตัวข้าพเจ้าและคุณหญิง จูงชนิดลากจะเอาตัวไปฟ้องท่านย่า คุณหญิงตกใจกลัวมาก พอที่คุณพระเลื่อนจะไม่เห็นคุณสุดา ซึ่งกอดอยู่กับกิ่งนิ่งเงียบแทบไม่หายใจ คุณหญิงแหงนหน้าตะโกน สุดาลงมาเหอะ เขาเห็นเราแล้ว สุดาโมโหใหญ่ว่า บอกเขาทำไม เขาไม่เห็นอยู่แล้ว ทีหลังอย่ากินเลย ว่าที่จริงอ้ายสะท้อนมันก็ยังอ่อน ถึงเก็บมากินก็ไม่ได้ แต่ด้วยความซุกซน คุณหญิงตะโกนไปก็เพราะอ่อนหัดไม่ใช่ขโมยในสันดาน อย่าว่าแต่เราเป็นข้าหลวงรุ่นกลางเลย รุ่นใหญ่ก็ขโมยด้วย มันตื่นเต้นสนุกดีจัง ม.ร.ว. เกื้อกมล (นันทวัน) สวัสดิ์สรยุทธ ก็ไปแอบเก็บมะม่วงมัน ให้ น.ส. มาลี มานิตยกุล (ธิดาเจ้าคุณมานิตกุลพัฒน์) เป็นผู้ปีนต้นขึ้นไป ตอนนี้เป็นเวลา ๒ ยามกว่าแล้วกำลังเก็บเพลิน คุณพระเลื่อนเดินมาเรือนพบเข้า ไม่เห็น น.ส. มาลีบนต้น ก็เลยจับคุณหญิงเกื้อกมล จะเอาตัวไปฟ้องท่านโอภาษผู้เป็นท่านอา คุณหญิงเกื้อกมลตกใจกลัวมากปากสั่นบอกคุณพระเลื่อนว่า มาลีเขาอยู่บนต้นอีกคนหนึ่ง" คุณพระเลื่อนจึงเรียกให้ลงมา เห็นมาลีเขาร้องไห้ เลยใจอ่อนเทศนา ๒-๓ คำแล้วปล่อยตัวไป

Tuesday, May 31, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๕

ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์


ม.ร.ว.ศรีคำ ทองแถม


          ปีนี้ท่านย่ามีชันษาครบ ๖๐ ปี ก็มีการไปเลี้ยงพระที่วัดราชาและรับบวชเณรเป็นพระ ๑ องค์ ชื่อ มหาเวียง ครั้นกลับจากวัดก็ชวนคุณหญิงและข้าพเจ้าพร้อมด้วยองค์ท่านเองเป็น ๓ คน ขึ้นเฝ้าพระวิมาดาและสมเด็จหญิงพระองค์น้อย ถวายเครื่องเสวยทั้งคาวหวานและผลไม้ คุณหญิงศรีคำเชิญผลไม้ ข้าพเจ้าเชิญเครื่องหวาน ส่วนเครื่องคาวแม่แดงอ่าง (แกพูดติดอ่าง) เป็นผู้เชิญไป ด้วยแกมีหน้าที่เป็นคนเชิญเครื่องประจำวันอยู่แล้วกับนางสาวตะล่อม ส่วนพานทองใส่ดอกไม้ธูปเทียนแพท่านย่าเชิญไปเอง พิธีนี้เป็นพิธีจะถวายตัวข้าพเจ้าเป็นข้าหลวงสมเด็จหญิงพระองค์น้อย พอนั่งกราบกรานเสร็จ ท่านย่าก็ทูลถึงความประสงค์ที่จะถวายตัวข้าพเจ้า แล้วให้ข้าพเจ้าคลาน ๒ เข่า เชิญพานทองไปวางตรงพระพักตร์ ให้เปิดกรวยกระทงดอกไม้ออก ข้าพเจ้าก็ทำเสียขายหน้าเชียว พอดึงกรวยใบตองออกโดยไม่เอามือจับตัวกระทงไว้ กระทงติดกรวยไปกลิ้งหกคะเมน ดอกไม้จัดไว้งามๆ หกเกลื่อน ตกใจรีบกอบใส่กระทงอย่างเดิม คุณหญิงขบขันหัวร่อคิ๊กๆ สมเด็จหญิงทรงหันมาพระเนตรเขียวเลยหยุดหัวร่อไป ท่านย่ากราบทูลว่า หม่อมฉันนำเด็กเนื่องหลานสาวขึ้นมาถวายตัว ขึ้นบัญชีเป็นข้าหลวง แต่ขณะนี้หม่อมฉันก็มีอายุถึง ๖๐ แล้ว อยากจะขอประทานเอาไว้ใช้สอย ก่อนให้ปรนนิบัติ เมื่อหม่อมฉันตายลง จึงให้ขึ้นมารับใช้ราชการบนตำหนักเหมือนคุณศรีคำ สมเด็จหญิงรับสั่งว่า ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่เป็นไรจะเลี้ยงให้ แต่เวลามีงานบนตำหนัก เช่น งานปักสดึง ทำดอกไม้ หรืองานอื่นใดที่ต้องการคนทำมากๆ ก็ให้ขึ้นมาฝึกทำจะได้ทำได้ แล้วก็ประทานเหรียญพระนามทองคำลงยาสีแดงมีอักษรไขว้ว่า น.น. มาจากคำว่า นิภานพดล ซึ่งข้าหลวงสมเด็จหญิงพระองค์น้อยจะต้องห้อยคอทุกคนไป เพื่อให้รู้ว่าข้าหลวงใคร (ในวังใช้ห้อยคอพระนามย่ออย่างนี้ ทุกๆ ตำหนัก) เมื่อได้ประทานแล้วข้าพเจ้ากำไว้แน่นด้วยความปิติตื้นตันใจ รับสั่งว่า ทำไมไม่ห้อยคอ ห้อยเสียเดี๋ยวนี้เลย จึงแข็งใจรวบรวมความกล้ากราบทูลว่า สร้อยคอไม่มี ท่านย่าคงนึกอายที่ไม่มีสร้อยคอให้หลาน รีบกราบทูลความจริงว่า ชอบโดดน้ำ หายไป ๒ เส้นแล้ว พอดีพระวิมาดาเสด็จมาได้ยินเข้า รับสั่งให้ไปเบิกสร้อยคอทองคำและเหรียญทองคำอักษรไขว้ ส.ส. มาประทานอีก ๑ ชุด แล้วรับสั่งสัพยอกท่านย่าว่า เอาไว้ให้มันใส่โดดน้ำหายอีก แต่ของหลวงหายต้องทำใช้นะ ไม่ใช่หายแล้วแล้วกัน ท่านโอภาษนำของมาถวาย ข้าพเจ้าก้มกราบด้วยความดีใจ วันนี้ได้สร้อย ๑ เส้น เหรียญ ๒ อัน โชคดีกระไร คุณหญิงสะกิดข้าพเจ้ากระซิบว่า อย่าเผลอหัวเราะเป็นม้าออกมานะ ข้าพเจ้าเลยหยิกเขาไปครั้งหนึ่ง
          แล้วพระวิมาดาหันมารับสั่งกับท่านย่าว่า เจ้าครอกหญิงสะบาย เธอก็อยู่กับฉันด้วยความขยันซื่อสัตย์มาเป็นเวลานาน วันนี้เธออายุ ๖๐ ปี ฉันก็มีของขวัญที่จะให้รางวัลแก่เธอ (คำว่า เจ้าครอกนี้เป็นคำยกย่องสูงกว่าคำว่า ท่านหญิงสะบาย) รับสั่งแล้วก็ทรงถอดพระธำมรงค์ก้อย เพชรหนัก ๑ กะรัต น้ำงามมาก ฝังอยู่ในเรือนทองคำขาว แหวนก้านแบบมีอักษรจารึกอยู่ที่ด้านในของก้านว่า ส.ส. ท่านย่ากราบพระบาทแล้วรับแหวนมาสวมก้อยต่อพระพักตร์ เป็นอันเสร็จพิธีถวายตัวของข้าพเจ้า

Saturday, May 21, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๔

          คราวหนึ่ง  สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิจ จะเสด็จเข้ามาเฝ้าพระวิมาดา มาเสวยเครื่องค่ำแล้วเล่นซอ ๓ สายถวายด้วย พระวิมาดาทรงชื่นชมเป็นที่สุด ทรงใช้ให้คุณหญิงศรีคำลงมาหาท่านย่าให้จดบัญชีเครื่องเสวยว่า ของคาวจะทำอะไร ของหวานจะทำอะไรบ้าง ให้ดีพิเศษเป็นอย่างยิ่ง ท่านย่าก็เรียกข้าพเจ้ามาช่วยคิดแล้วจดลงกระดาษ เสร็จแล้วเรียกคุณหญิงศรีคำมานำบัญชีไปถวาย คุณหญิงศรีคำหายไปไหนไม่รู้ เรียกอยู่นานจึงโผล่มา ข้าพเจ้านึกรู้แล้ว เขาขี้เกียจเขียนคอยเกี่ยงข้าพเจ้า ท่านย่าก็เหลือเกิน คุณหญิงเขาก็เรียนหนังสือมาเท่าๆ กันแหละ ไม่ให้เขาเขียน ต้องมาเรียกเราซึ่งกำลังกินข้าวไปเขียน ข้าพเจ้าเลยแกล้งเซ็นพระนามท่านย่าไปท้ายบัญชี นึกในใจว่าชื่อ สะบาย มันสั้นนัก เอาใหม่เขียนลงไปตัวโตๆ ว่า สะบายใจ คุณหญิงเขารับบัญชีไป เขาจะเห็นพระนามท่านย่าเปลี่ยนไปหรือเปล่าไม่ทราบ เมื่อนำไปถวายทรงอ่านบัญชีจบเห็นคำว่า สะบายใจ ทรงกริ้วท่านย่าทันที รับสั่งว่า สบายใจซี หมู่นี้ไม่มีงานใหญ่ให้เหนื่อย นี่ถ้าฉันไม่อยู่เสียคงยิ่งสบายใจกว่านี้ ข้าพเจ้าหรือคุณหญิงศรีคำเป็นต้นเหตุให้ท่านย่าถูกกริ้ว พี่สอนนำเรื่องมาเล่าให้ฟัง ข้าพเจ้าเลยเฉยเสียไม่ตอบ
          อยู่ในวังดูจะหาเวลาเถลไถลได้ยาก ด้วยมีผู้ใหญ่คอยดูอยู่เรื่อย ไม่ชอบเห็นเด็กๆ ว่าง หรือจะร้องเพลงดังๆ ก็ไม่ได้ หาว่าเป็นบ้าไปแล้วรึ จะโดดเชือกเล่นก็ไม่ได้ เล่นกีฬาอะไรของเด็กๆ ดูมันไม่ได้ไปทั้งนั้นเลย ทั้งที่เงินเดือนข้าพเจ้าก็ได้รับเดือนละหนึ่งบาท คุณหญิงศรีคำได้เดือนละสามบาท แต่เราก็ใช้กันพอ เพราะไม่ต้องซื้อหาอะไร รับประทานทั้งคาว-หวานวันละ ๔ เวลา เสื้อผ้าจ่ายทุกปีให้พอเลย เรียนหนังสือเบิกได้หมดทุกอย่าง จนกระทั่งกระดาษทดเลข ยางลบ ปากกา ดินสอ เรียนจบโดยไม่ใช้เงินเลยจนบาทเดียว ตามนิสสัยเด็กบางทีมันก็ขี้เกียจไปเรียน ขี้เกียจขึ้นรับใช้บนตำหนัก วันหนึ่งคุณหญิงมาปรึกษาข้าพเจ้าว่า วันนี้ขี้เกียจไปเรียนจัง อยากนอนเล่นอยู่เฉยๆ ข้าพเจ้าก็ออกความคิดให้ทำป่วยเสีย แต่อย่าบอกว่าเป็นไข้ เพราะไข้ถ้าเป็นแล้วมันต้องตัวร้อน ถ้าท่านย่ามาคลำตัวไม่ร้อนจะไม่สมจริง ให้ทำว่าท้องผูก แน่น ไม่ยอมไปกินข้าวที่สำรับ แล้วข้าพเจ้าจะวานแม่เอม (คนรับใช้ท่านย่า) แบ่งเอาไปให้ที่ห้อง คุณหญิงตกลง เราก็ชวนกันไปขอยากินที่ท่านแก่ (หม่อมเจ้าหญิง ชื่อจริงๆ ของท่านชื่ออะไรไม่มีใครทราบ เรียกกันแต่ท่านแก่) เป็นหมอแผนโบราณประจำวัง โดยท่านเป็นของท่านเองไม่มีใครแต่งตั้ง คนป่วยไปกินยาจากท่านก็หายมั่ง ไม่หายมั่ง แต่ท่านกวาดยาเด็กๆ เก่ง เรือนท่านแก่อยู่เยื้องกันกับเรือนท่านย่า ต้องเดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งคลอง อยู่เคียงกับเรือนหม่อมพยอม ที่เราเคยไปเรียนเมื่อเด็กๆ นับว่าการทำป่วยครั้งนี้เคราะห์ร้ายมาก พอเล่าอาการท้องผูกแน่นให้ท่านฟัง ท่านจัดการให้คุณหญิงดื่มดีเกลือที่แสนจะขมละลายน้ำร้อน เล่นเอาคุณหญิงดื่มแล้วต้องอาเจียนออกมา น้ำหูน้ำตาไหล โกรธข้าพเจ้า กลับมาถึงเรือนสวดเสียกระบุงโกยเลย เป็นอันว่าป่วยจริงๆ ต้องให้แม่เอมต้มข้าวต้มมาส่ง ด้วยถ่ายท้องไป ๒ วันเต็ม น่าจะเข็ดแต่ไม่เข็ด คราวหลังเอาใหม่ เปลี่ยนเป็นโรคเพลีย หน้ามืด ไม่มีแรงใจสั่น คราวนี้ดีหน่อย ท่านแก่ให้ดื่มยาหอมรักษาหัวใจ แล้วให้กลับมานอนพักนิ่งๆ เลยสะบายไป สมัยข้าพเจ้าเด็กๆ ถ้าโรคเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถึงใส่รถไปโรงพยาบาล ก็เห็นให้กินกันแต่ยาเขียว ยาหอม ถ่ายดีเกลือ ภายหลังท่านแก่สิ้นพระชนม์แล้ว พวกข้าหลวงได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยมีป้าละม้ายเป็นผู้ใหญ่ควบคุมไป ทุกๆ วันจันทร์จะมีรถมาจอดคอยหน้าเรือนท่านย่า ใครป่วยจะไปรักษาโรคอะไร ก็แต่งตัวขึ้นไปนั่งคอย รถออกเวลา ๘.๐๐ น. ข้าพเจ้ากับคุณหญิงดูจะเจ็บไข้บ่อย ปวดหัว เวียนหัว เจ็บฟัน ไปตามเรื่อง เพราะไปแล้วสนุก ได้ขึ้นรถไปเห็นถนนหนทางผู้คนภายนอก ทั้งยังได้ช่วยกันเก็บลูกมะฮอกกานีมาถวายท่านย่าด้วยเป็นของฝากด้วยเข้าใจว่าละมุดยักษ์ เพราะลูกมันคล้ายละมุดมาก แต่ใหญ่กว่า ๑๐ เท่า แล้วขมปี๋ เข้าวังแล้วมาลองผ่ากินจึงรู้

Sunday, May 8, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๓

               ถ้าข้าพเจ้าเป็นคนขยันช่างจดจำ ป่านนี้ข้าพเจ้าก็คงมีคนเรียกท่านเนื่องไปแล้ว ของหวานไปเรียนที่ห้องเครื่องหวาน ม.ร.ว.บุญเอื้อ ลดาวัลย์ เป็นนายห้องเครื่องหวาน นั่งอยู่บนแคร่ทั้งวันไม่ลุกเดินไปไหน เพราะเดินไม่ไหว ตัวใหญ่เท่าตุ่มซีเมนต์ เป็นคนดุที่สุด
          หม่อมเจ้าหญิงสะบาย เป็นนายห้องเครื่องใหญ่ควบคุมหมดทั้งคาว-หวาน แต่ท่านย่ามีพิศดารอย่างหนึ่ง ใครปรุงน้ำข้าวแช่ได้ไม่มีเหมือนท่านย่าเลย หอมซึ้งตรึงใจน่ากินที่สุด เห็นเครื่องปรุงขณะท่านปรุง เห็นบดพิมเสนแท้ๆ จี๊ดเดียว แล้วบดเส้นสีแดงๆ เรียกว่าหญ้าฝรั่น ละเอียดแล้วเทน้ำดอกไม้เทศจากขวดเล็กๆ ลงไปในโกร่ง บดเข้ากันดีก็เทลงไปในขวดโหล น้ำที่ลอยดอกมะลิ กุหลายมอญ ชำมะนาด เอาไว้ เสร็จแล้วหอมน่ากิน ยังไม่เคยเห็นใครทำได้เหมือนเลย ส่วนตัวข้าวแช่นั้น เอาใส่ตะแกรงขัดเสียจนเม็ดข้าวเหลือแต่แกนในใสเป็นแก้วเลย ขัดเสร็จกลับเอาเทห่อลงในผ้าขาวบาง พรมน้ำหอมที่ทำไว้ ห่อมิดชิดเอาใส่ลังถึงนึ่งอีกที ดูพิศดารหลายซับหลายซ้อน ใส่ปากแล้วไหลลงคอไปเลยไม่ต้องเคี้ยว ได้ไปรับประทานข้าวแช่ที่ว่าเก่งนักหนาอร่อยนัก ไปแล้วผิดหวังไม่เหมือนท่านอา ท่านย่า ทำเลย
          อยู่มาวันหนึ่ง พระวิมาดา โปรดให้ท่านอาทำกับข้าวชะวาจะทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และเอาไปวังสระประทุม วังบางขุนพรหม จึงโปรดให้นักเรียนหยุดเรียนมาหัดทำกับข้าวชะวาที่ห้องเครื่อง พวกเรามาทำอะไรไม่ถูก เห็นแล้วต้องนั่งดูเฉยๆ ของที่เตรียมหั่นไว้แล้ว เห็นมาเนื้อไก่ เครื่องในไก่ กุ้งสด ผักมี ถั่วแขก ถั่วงอก สะตอ เนื้อวัว เครื่องเทศสารพัดไม่รู้อะไรมั่ง ตำวางไว้สีแดงก็มี สีเขียวก็มี สีเหลืองขมิ้นก็เยอะ กะทิเป็นหม้อใหญ่ ท่านอาชี้แจงว่า ให้เอากระดาษมาจดต่างคนต่างจดของตัวไป ท่านหญิงแดง (หม่อมเจ้าหญิงคันธรสรังษี ระพีพัฒน์ พระธิดากรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์) รับสั่งอย่างขี้เกียจ คุณศรีคำจดซีแล้วใครอยากได้ก็มาลอกๆ กันไป คุณศรีคำว่า เขียนคนเดียวก็มือหงิกซี ผลัดกันเขียนซี จะได้ความรู้ด้วยกันทุกคน ท่านอายิ้ม เห็นเกี่ยงกัน ท่านเลยว่า ขี้เกียจก็มาจดวันหลัง ตอนนี้จำไปคร่าวๆ ก่อน กับข้าวขึ้นทำบนเตาให้สุก เรื่องผัดๆ กับน้ำพริกมั่ง ผัดกับกะทิเปล่าๆ มั่ง ก็มีราว ๑๖ ผัด เรียกว่า ๑๖ อย่างก็ได้ เพราะไม่เหมือนกันต้องผัดทีละที ใส่จานละอย่าง แล้วของคั่วกับเนื้อสัตว์ คั่วกับน้ำพริกเครื่องเทศ บางอย่างคั่วกับกะทิจนแห้ง บางอย่างก็ต้องแกงอย่างแกงมัสหมั่นแต่ไม่เหมือน ของคั่วๆ ต้มๆ แกงๆ อีกประมาณ ๘-๙ อย่าง แล้วพวกถั่วทอดกรอบอีกหลายถั่วไม่รู้ถั่วอะไรมั่ง นั่งนับดูเมื่อเสร็จ ขนมาวางกองไว้ เบ็ดเสร็จประมาณกับข้าว ๓๒ อย่าง แล้วเอาทุกอย่างคลุกรวมลงไปในข้าวสุกที่หุงไว้สวยเป็นตัว แล้วใส่ไข่แดงของไข่เค็มคลุกลงไป เทแตงกวาดองเรียกว่าอาจาด คลุกลงไปด้วย ชิมดีแล้วกินได้ ดูแล้วใจหายของ ๓๒ อย่าง นั่งทำแทบตาย เวลาเอามาคลุกรวมหมดเหลืออย่างเดียวกินจานเดียวอิ่ม ท่านอาว่า เดี๋ยวจะคลุกให้ชิมเวลาอาหารมื้อกลางวันเสียเลย เมื่อกินแล้วข้าพเจ้าและเพื่อนทุกคนที่มาเรียนทำออกปากว่า เป็นบุญตัวที่ได้กิน จะไปหากินที่ไหนไม่มีแล้ว ว่าถึงความอร่อยโอชะ ทำให้กินแล้วลืมความตายจริงๆ ข้าวคลุกชะวานี้ ข้าวคลุกกะปิของเราชิดซ้ายไปเลย อร่อยสมความพิศดาร ความสิ้นเปลือง คิดกันว่าในชาตินี้พวกเราไม่มีวันได้ทำกินหรือทำเลี้ยงใครหรอก อย่าเรียนอย่าจดดีกว่า ก็เลยกลับจากห้องเครื่องหมดเมื่อกินอิ่มหนำแล้ว ไม่มีใครยอมเรียน

Saturday, May 7, 2011

งานเขียนชิ้นแรก ๒

ม.ล.เนื่อง นิลรัตน์


ม.ร.ว.ศรีคำ ทองแถม

       ท่านย่าแนะนำสอนให้รู้จักรักกันและบอกว่าเป็นญาติกัน เรา ๒ คนมีท่านย่าองค์เดียวกัน ข้าพเจ้าให้นึกรักเพื่อนหรือญาติคนใหม่นี้ทันที ด้วยจะได้มีเพื่อนมาอยู่เล่นกัน และต่อมาเราก็เริ่มรังแกกัน ทะเลาะกัน ตีกันกัดกันตามแขนและหลังมือเป็นแว่นเขียวๆ บ่อยครั้งแล้วเราก็ผลัดกันถูกตีจากท่านย่าโทษที่รังแกกัน แต่เรา ๒ คนก็รักกันมาก เรานอนมุ้งเดียวกัน อยู่ห้องเดียวกันมาจนโตเป็นสาว กินข้าวสำรับเดียวกัน อาบน้ำทาขมิ้นพร้อมกันทุกเย็น ท่านย่าเป็นผู้ทาขมิ้นขัดสีเนื้อตัวให้ทุกวัน เรามักจะตีกันหยิกกันผลักกันหกล้มหกคะเมน ก็ตอนปูที่นอน-กางมุ้ง เพราะเราก็ต่างขี้เกียจคอยเกี่ยงกัน ตอนเช้าก็ต้องรีบตื่นหนีไปก่อน ด้วยผู้ตื่นภายหลังต้องเก็บมุ้งเก็บที่นอน
          ต่อมาราว ๗ ขวบ เรา ๒ คนก็ได้เริ่มไปเรียนหนังสือ ก.ไก่-ข.ไข่ ที่เรือนหม่อมพยอม ด้วยเป็นสำนักสอนหนังสือเด็กๆ ข้าหลวงทั่วทุกคน ตอนนี้ชีวิตวุ่นวาย ถ้าวันไหนเรา ๒ คนขี้เกียจไปเรียน เราก็จะชวนกันหนีไปเล่นน้ำในคลองที่ท่าน้ำคุณพระเลื่อน ถ้ามีผู้ใหญ่มาพบเห็นเอาไปฟ้องท่านย่า เรา ๒ คนก็ถูกเฆี่ยนแล้วให้อดขนม ถึงถูกทำโทษบ่อยๆ เราก็ไม่ฟัง เราก็หนีมั่ง ไปมั่งของเราจนโตเรียนจบชั้นประถม ภายหลังย้ายที่เรียนจากเรือนหม่อมพยอม มาเรียนชั้นมัธยมยังสถานที่ศึกษาใหม่ จ้าวนายทรงปลูกสร้างใหม่เป็นเรือนไม้ชั้นเดียวยาวขนานไปกับขอบสระน้ำใหญ่ แล้วกั้นเป็นห้องๆ มีตั้งแต่ชั้นประถมไปถึงชั้นมัธยมปีที่ ๖ ประทานชื่อโรงเรียนว่า โรงเรียนนิภาคาร นามนี้มาจากพระนามสมเด็จหญิงพระองค์น้อย คือ สมเด็จเจ้าฟ้า นิภานพดล กรมขุนอู่ทองเขตขัติยะนารี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระวิมาดาเธอ เป็นพระราชมารดา ในวังทุกคนกล่าวเรียกพระนามว่า สมเด็จหญิงพระองค์น้อย ได้ทรงจ้างครูผู้เชี่ยวชาญจากนอกวังเข้ามาสอนเป็นครูประจำ และมี ครูประพิศ ครูสมบูรณ์ ครูสะอาด กระทรวงธรรมการส่งมา (ก่อนเรียกกระทรวงศึกษาธิการ ว่า กระทรวงธรรมการ) ภาษาอังกฤษ จ้างแหม่มมาสอน ชื่อ มิสอาร์เชอร์ วิชาขับร้องคุณหญิงเยี่ยม รามบัณฑิตสิทธิเศรณี (นักร้องในรัชกาลที่ ๕) มาสอนอาทิตย์ละ ๒ วัน การฝีมือไม่มีการสอน ด้วยในวังฝึกทำการฝีมืออย่างยอดเยี่ยมอยู่แล้วทุกชนิด เรียกว่าเราเก่งกว่าครู วิชาการครัว ให้ไปเรียนที่ห้องเครื่องคาว เรียนกับหม่อมเจ้าหญิงแย้มเยื้อน สิงหรา ด้วยท่านดังมากเรื่องการครัว ท่านทำได้ทั้งกับข้าวไทย จีน แขก ฝรั่ง กับข้าวเมืองชะวา ไทยภาคใต้ทำเก่งมาก เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา หาผู้ทัดเทียมยาก เป็นผู้ทำข้าวแช่มือหนึ่ง ท่านเรียนทำกับข้าวมาตั้งแต่ยังไว้จุก ความชำนาญทำกับข้าวไม่ชิมใช้ดมเอา ทำเอานักเรียนไปเรียนงงเลย ข้าพเจ้าเป็นคนเกลียดการทำครัว ก็คอยหลบหลีก หนีมั่ง ช่วยมั่ง จึงลอกวิชาท่านไว้แต่บางอย่าง